วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

ไม่อยากศัลยกรรม ขอฉีด filler จะดีมั๊ย??

วันนี้เปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวความสวยความงามกันบ้างนะคะ เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากสวยกันทั้งนั้น (ความจริงก็เป็นมาตั้งนานแล้ว) ศัลยกรรมตกแต่งเองก็มีมานานแล้ว เดิมสังคมเราไม่ค่อยจะยอมรับเท่าไหร่ ใครไปทำ ดาราคนไหนทำกลายเป็นเรื่องเม๊าท์ เรื่องเสียหาย ต้องคอยปกปิดกัน เพราะกลัวถูกตราหน้าว่าเป็น "ของปลอม" จนทุกวันนี้ ยุคสมัยก็เปลี่ยนแปลงไป คนทำศัลยกรรมกันมากขึ้น และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น บางคนก็บอกว่า "เกิดมา หน้าไปไม่เป๊ะ แล้วผิดตรงไหน ถ้าอยากจะทำให้สวย" ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น ไม่ว่าจะเพศไหน (ชาย หญิง หรือ อื่นๆ) ทุกคนอยากดูดีกันทั้งนั้น การศัลยกรรมเลยไม่ใช่เรื่องหน้าอายเท่าแต่ก่อนเท่าไหร่ มีคนจำนวนไม่น้อยที่กล้าทำและกล้าพูด เกริ่นมายาวมาก ขอเข้าเรื่องๆ filler กันดีกว่า

หลายคนแม้อยากจะดูดี อยากจะดั้งโด่ง คางแหลม อย่างดาราเกาหลี แต่ก็ยังกลัวมีดอยู่ดี สมัยนี้ก็มีทางเลือกอยู่ก็คือ filler นั้นเอง โฆษณากันว่า ฉีดปุ๊บ โด่งปั๊บ ไม่ช้ำ ไม่ต้องพักฟื้น เดินออกไปก็เป็นคนใหม่เลย น่าสนใจทีเดียว

Filler คืออะไร??
Filler ภาษาไทยก็ใช้คำว่าสารเติมเต็ม เป็นสารที่เราพยายามสร้างขึ้นมาเลียนแบบธรรมชาติ และใช้ฉีดผ่านเข็มฉีดยาเพื่อ "เติมเต็ม" ส่วนที่เราไม่มี แต่อยากให้มันมีขึ้นมา ของคนไทยก็คงหนีไม่พ้น จมูก คาง หน้าอก เพื่อให้สวยงามขึ้น บางคนก็ฉีดเพื่อลดอายุของใบหน้า ได้แก่การฉีดบริเวณร่องแก้ม (ก็คือร่องตั้งแต่ปีกจมูกถึงมุมปาก) เติมแก้ม เป็นต้น

filler, ฉีด filler, อันตรายจาก filler, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
ฉีดยังไง
ง่ายมากค่ะเหมือนกันฉีดยา แต่ก่อนอื่นก็อาจจะทายาชา หรือฉีดยาชาก่อน ตัว filler ก็จะมีลักษณะคล้ายๆเยลลี่ แต่เหลวกว่านิดหน่อย สามารถวิ่งผ่านเข็มฉีดยาได้ แพทย์(ตามคลินิกหรือโรงพยาบาลเสริมความงาม)ก็จะฉีด filler นี้เข้าไปใต้ผิวหนัง ตามจุดต้างๆที่เราอยากจะเติมเต็ม ฉีดเสร็จก็อาจจะประคบเย็นเล็กน้อย เพื่อหยุดเลือดตามรูเข็ม แล้วก็เสร็จแล้วค่ะ ออกไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ อาจจะแดงๆเล็กน้อยประมาณไม่เกิน 1 วัน คนส่วนใหญ่ติดใจการฉีด filler ด้วยเหตุผลนี้แหละค่ะ ฉีดปุ๊บ สวยปั๊บ

บางคนเคยได้ยินว่า ฉีด filler แล้ว "ไหล" หมายถึงว่าฉีดที่จมูก แต่ไหลไปที่แก้ม อันนี้ต้องบอกไว้ก่อนว่า filler ตัวที่ได้รับการรับรองจากสถาบันต่างๆ ว่าปลอดภัย ใช้ได้ มักมีความอยู่ตัว และไม่ไหล แต่สารพวกนี้มีราคาแพง บางที่(บางคนเรียกหมอกระเป๋า) ใช้ filler ที่ไม่ได้รับการรับรอง อันนี้อาจต้องระวัง ราคาถูกแต่คุณภาพไม่ดี ที่สำคัญอาจก่อปัญหาอื่นๆตามมาได้นะคะ

แล้ว filler ทำจากอะไร
สารที่เอามาทำfiller ส่วนใหญ่เป็นสารเลียนแบบธรรมชาติ(แน่เป็นสารสังเคราะห์ซะส่วนใหญ่) ที่นิยมใช้ในประเทศไทย มีตั้งแต่ collagen ซึ่งเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆในร่างกายของเรา, hyaluronic acid เป็นส่วนประกอบในกระดูกอ่อนของร่างกาย, และมีบางที่ใช้ไขมันจากร่างกายผู้ป่วยเอง เรียกว่าเอาส่วนเกินไปเติมส่วนที่ขาด (อย่างกับฝันไปทีเดียวที่จะเอาหน้าท้องใหญ่ๆ ไปเติมหน้าอกแทน!!! 555คุณผู้ชายที่อ่านอยู่ก็อย่าถือสาสาวๆเลยนะคะ)

แต่ที่สำคัญที่ทุกคนควรรู้คือ filler ไม่ได้อยู่ถาวรเหมือนกับบรรดาซิลิโคนที่ใช้ศัลยกรรมเสริมจมูก เสริมหน้าอก หรอกนะคะ ทั้งหมดที่เล่ามา เมื่อฉีดเข้าไปแล้วร่างกายก็จะค่อยๆกำจัดออกไป ก็คือมันจะค่อยๆยุบลง มันจึงมีอายุของมัน อย่าง collagen อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน hyaluronic acid อยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ส่วนไขมันจากร่างกายของเราอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี

ปลอดภัยมั๊ย
ขอบอกก่อนว่าทุกอย่าง ไม่มีอะไร 100% ทุกอย่างมีด้านดีด้านเสีย ผลข้าวเคียงของการฉีด filler ที่พบได้ทั่วๆไปก็คือ อาการปวดตึง ช้ำ ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน ไม่อันตราย มีโอกาสติดเชื้อได้ อันนี้ไม่ต่างจากการศัลยกรรม ถ้าหากว่าเทคนิคการทำ หรือว่าสาร filler ไม่สะอาด ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ ส่วนโอกาสแพ้นั้นพบได้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีนะคะ

สิ่งที่น่ากลัวกว่า และคิดว่าหลายคนคงเคยได้ยินคือ การ"ตาบอด" จากการฉีด filler อันนี้ก็เกิดขึ้นจริง แม้จะพบได้น้อยรายมาก แต่ก็เกิดขึ้นจริงในเมืองไทย แม้ว่าการฉีดจะใช้เทคนิคที่ถูกต้องแล้วก็ตาม เหตุผลเป็นเพราะว่าลักษณะเส้นเลือดของบางคนวางตัวไม่เหมือนคนอื่น โดยเฉพาะจมูกมีเส้นเลือดเส้นหนึ่งอยู่ใกล้ๆ ดั้งจมูก เส้นเลือดเส้นนี้ต่อมาจากเส้นเลือดในเบ้าตา โดยที่เส้นเลือดในเบ้าตาเส้นนี้มีหน้าที่เลี้ยงลูกตาด้วย ผู้โชคร้ายบางรายมาฉีด filler แต่บังเอิญ filler เข้าเส้นเลือด และย้อนเข้าไปในเส้นเลือดในเบ้าตา อุดเส้นที่เลี้ยงลูกตาไปด้วย ผลก็คือตาบอดทันที !!! เรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว แม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว

ถามว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วมีทางรักษามั๊ย คำตอบคือมีค่ะ โดยเฉพาะสารบางตัวอย่าง hyaluronic acid สารตัวนี้มีสารที่ฉีดเพื่อสลายมันไปได้ ถ้าเราสลายได้ทัน และเลือดกลับมาเลี้ยงลูกตาทันก่อนที่เซลล์เหล่านั้นจะตายไป ก็อาจกลับมามองเห็นได้ค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อเยื่อที่ขาดเลือดไป ฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหน

อีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ก็คือ "ผิวหนังขาดเลือด" อาการก็คือจะปวดมาก โดยปกติเราจะปวดเฉพาะช่วงที่กำลังฉีด filler เท่านั้น แต่เมื่อหยุดฉีดแล้วก็จะไม่ปวด อาจจะแค่ตึงๆเล็กน้อย แต่ถ้ายังมีอาการปวดมาก ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นเข้มขึ้นเรื่อยๆ อันนี้เป็นสัญญาณของภาวะผิวหนังขาดเลือด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นจากการฉีด filler มากเกินไปจนไปกดเบียดเส้นเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังบริเวณนั้น แก้ด้วยการฉีดสลาย "อย่างทันท่วงที"ก็จะช่วยได้อยู่ค่ะ

อ่านจบแล้วใครก็ตามที่คิดอยากจะลองฉีด filler ก็ควรระมัดระวังไว้นะคะ ยอมรับค่ะว่าคนมากมายฉีดแล้วก็ไม่มีปัญหา แต่รู้ไว้ก่อนจะได้ระมัดระวังตัวค่ะ

แล้วไว้ติดตามอ่านกันต่อนะคะ ขอให้ทุกคนดูดีค่ะ

4 ความคิดเห็น:

  1. คุณหมอคะ แล้วถ้าอยากจะฉีดฟิลเลอร์หน้าอกล่ะคะ คุณหมอมีความเห็นว่ายังไง? ฟิลเลอร์ที่ตอนนี้มีคนพูดถึงเยอะ ว่าปลอดภัย คือ Aqualift ค่ะ มันปลอดภัยจริงมั้ยคะ

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อย่างที่บอกค่ะ ทางการแพทย์ ไม่มีอะไรที่ 100% อยู่แล้ว filler รุ่นใหม่ๆ อาจมีการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อเสียของ filler รุ่นเก่า แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงกับผลข้างเคียงเหมือน filler อื่นๆนะคะ

      ลบ
  2. คุนหมอคะ. ถ้าเราไปฉีดมาประมานอาทิตเเล้วมันบวมเป็นก้อนๆตรงขมับละคะ. เเต่มันปวดๆถ้าเราไปยุ้วกับมัน.

    ตอบลบ
  3. คุนหมอคะ. ถ้าเราไปฉีดมาประมานอาทิตเเล้วมันบวมเป็นก้อนๆตรงขมับละคะ. เเต่มันปวดๆถ้าเราไปยุ้วกับมัน.

    ตอบลบ

คิดยังไง บอกหมอได้ค่ะ