วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อข่าวร้ายมาเยือน .....

วันนี้อยากจะขอมาแนว "จิตเวช" บ้าง เป็นอีกสาขาทางการแพทย์ที่เป็นเรื่องราวที่"จับต้อง" ไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวซะมากกว่า "เมื่อข่าวร้ายมาเยือน" แน่นอนเรารู้ว่าไม่ว่าข่าวร้ายนั้นจะเป็นเรื่องแบบไหน แฟนบอกเลิก แฟนมีกิ๊ก สอบตก เอนท์ไม่ติด บอลแพ้ ไม่ถูกหวย หรือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่าง คนใกล้ตัวเป็นโรคร้าย หรือ ถึงกับเสียชีวิต เราทุกคนก็จะมีช่วงเวลาที่คนทั่วๆไปเรียกว่า "ทำใจไม่ได้" ทางการแพทย์มีการศึกษาเรื่องนี้เหมือนกัน เราเรียกมันว่าเป็น "กระบวนการตอบสนองต่อความทุกข์" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "Grief reaction" แต่จะขอเรียกว่า "โรคได้รับข่าวร้าย" แล้วกันนะคะ แต่ไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร วันนี้จะมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังค่ะ

รู้เรื่องนี้ แล้วทำอะไรได้?
ก่อนอื่นเราต้องรู้ประโยชน์ของมันก่อน ความจริงช่วงเวลาที่เราซึมเศร้าเสียใจกับข่าวร้าย ก็เหมือนกับโรคอย่างหนึ่ง เหมือนเราเป็นหวัด ก็จะมีช่วงที่เริ่มเป็น เป็นหนัก แล้วก็หาย เหมือนกับเรื่องโรคต่างๆที่เราได้เรียนรู้ไป เราจะสบายใจขึ้นถ้ารู้ว่าโรคนี้จะเป็นยังไงบ้าง พรุ่งนี้จะเป็นยังไง วันถัดไปจะเป็นยังไง แล้วตอนที่ใกล้หายจะเป็นยังไง หายแล้วจะเป็นยังไง ทำให้เราพร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆที่ำกำลังจะเกิดขึ้นได้ และรู้ว่าสุดท้ายแล้ว "มันก็จะผ่านไป"
grief reaction, ปฏิกิริยาต่อข่าวร้าย, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


การได้รับข่าวร้าย จิตใจของเราก็มีการตอบสนอง เรียกว่า"ป่วย" เลยก็ได้ การได้รู้ว่าอาการป่วยนี้จะเป็นยังไงบ้าง ทำให้เราสบายใจขึ้น ทั้งคนที่เป็นเองก็รู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงต่อไป และคนรอบข้างก็จะได้เข้าใจว่าคนใกล้ตัวของเราป่วยเป็นอะไร และพวกเขาจะต้องรับมือกับอะไรบ้าง ว่าแล้ว อาการป่วยเป็น "โรคได้รับข่าวร้าย" เป็นยังไงมาดูกันค่ะ 

เมื่อข่าวร้ายมาเยือน
คนทั่วไปจะมีการตอบสนองต่อการได้รับข่าวร้าย 5 ขั้น โดยที่ 5 ขั้นนี้อาจไม่ได้เรียงลำดับการเกิด สามารถเกิดสลับไปสลับมาได้ และระยะเวลาก็บอกได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้ป่วยเอง สภาพแวดล้อม และคนรอบข้าง โดย 5 ขั้นที่ว่าีมีดังนี้

1. ช่วงรับไม่ได้ (ฝรั่งเรียก Denial) ถ้าดูในละครไทยก็เป็นช่วงที่พระเอกรู้ความจริง แล้วนางร้ายก็ได้แต่คร่ำครวญว่า "ไม่จริ๊งงงง ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ....เป็นไปไม่ได้" อันนี้แหละค่ะ ช่วง "รับไมไ่ด้" แต่ในชีวิตจริง เราอาจไม่ได้แสดงออกอย่างงั้นว่ารับไม่ได้ บางคนเวลาที่คนที่รักต้องเสียชีวิตจากไป สิ่งที่ภาวนาอยู่ในใจในวินาทีแรกคือ "ขอให้ฉันแค่ฝันไป" หรือไม่ก็ "ขอให้เรื่องนี้ไม่เป็นจริง" หรือบางคนก็จะเคยได้ยินคำพูดเช่น "ลืมตาสิ ลืมตา อย่าหลับไป ตื่นขึ้นมาหาฉัน" ก็เป็นช่วงของอาการรับไม่ได้นั่นเอง

การปฏิเสธความจริง หรือที่บอกว่ารับไม่ได้นี้ เป็นปฏิิกิริยาของจิตใจของเราต่อข่าวร้าย เป็นความพยายามของจิตใจของเราที่พยายามจะหนีออกจากความเจ็บปวด  หนีออกจากความเสียใจ ตลกดีนะคะเหมือนกับเวลาที่เราจับของร้อนๆ ร่างกายจะตอบสนองด้วยการดึงมือหนึออกจากหม้อทันที ก่อนที่เราจะทันคิดด้วยซ้ำ สำหรับจิตใจคนเราก็ทำไม่ต่างกัน เมื่อได้กระทบกับความเศร้า ความจริงที่ไม่อยากให้เกิด มันก็กระโดดหนีทันทีเลยทีเดียว 

2.ช่วงโกรธ หลังจากช่วงปฏิเสธความจริงแล้ว เราก็เริ่มรับรู้ความจริง และความเจ็บปวดที่ท่วมท้นนั้นกลับมารวมกันและมักแสดงออกมาเป็นความโกรธ ความจริงแล้วความโกรธก็เป็นเกราะอย่างหนึ่งที่จิตใจเราสร้างขึ้น เพื่อกำบังจากความจริงอันเจ็บปวดของเรา ส่วนถามว่าโกรธอะไรนั้นก็แล้วแต่ความเชื่อความนับถือ และวิธีคิดของแต่ละคน บางคนโกรธเทวดาฟ้าดิน โกรธพระเจ้า โกรธเคราะห์กรรม บุคคลหนึ่งที่มักเป็นเหยื่อของความโกรธนี้คือ "หมอ" (เฮ้อ ซะงั้น) สำหรับช่วงนี้บางทีเราก็ต้องการคำอธิบายหลายๆอย่าง อย่าได้ลังเลถ้าคุณต้องการคำอธิบายบางอย่างจากหมอ หรือบุคลากรทางการแพทย์ นัดหมายเมื่อทั้งคุณและแพทย์มีเวลาว่าง ถามทุกอย่างที่อยากรู้ แพทย์ทุกคนยินดีตอบคำถามเสมอค่ะ (แต่อาจจะต้องหลังจากตรวจคนไข้คนอื่นๆเสร็จนะคะ)

3. ช่วงต่อรอง เมื่อเราเริ่มรับรู้ความจริง คลื่นของความรู้สึกเจ็บปวดไ้ด้ระบายออกจากช่วงความโกรธ ที่ตอนนี้เบาบางลงบ้าง ความจริงที่ต้องยอมรับมันก็ยังคงอยู่ตรงหน้า เราก็จะยังคงอาลัยอาวรณ์กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเรามักจะมีความคิดเช่น "ถ้าตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้นแต่ทำอย่างนู้นแทน เรื่องนี้อาจไม่เกิดขึ้น" "ถ้าเราพยายามกว่านี้ อาจจะดีกว่านี้" "ถ้า...." "ถ้า....." ส่วนหนึ่งในจิตใจเราพยายามต่อรองกับสิ่งศักดฺ์สิทธิ์ หรือพระเจ้าอยู่ว่าความจริงแล้วเราหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ได้ หรือเราควบคุมมันได้ การต่อรองเป็นเกราะบางๆชั้นสุดท้ายที่กำบังเราจากความเจ็บปวดที่ต้องยอมรับมัน

4. ช่วงโศกเศร้า ช่วงสุดท้ายก่อนที่เราจะยอมรับกับความจริง มันเป็นช่วงเวลาที่เรารับรู้กับความสูญเสีย มีแบบที่หลายคนคิดฟุ้งซ่าน เสียดาย เสียดายช่วงเวลาดีๆที่ควรจะทำให้ดีกว่านี้ เสียดายที่ยังไม่ได้บอกรักเขา เสียดายที่ยังไม่ได้ทดแทนพระคุณ และบางแบบก็เป็นความเศร้าสลดที่เราอยากอยู่เฉยๆ ไว้อาลัยให้กับคนที่กำลังจากไป

5. ยอมรับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่จิตใจอยู่ในภาวะสงบ และสามารถก้าวไปข้างหน้าและดำเนินชีวิตต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง

อย่างที่บอกว่าช่วงทั้ง 5 ช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดเรียงกัน อาจสลับไปมาได้ ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราเอง เราเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าเราอยู่ในช่วงไหน ความจริงแล้วคนรอบข้างไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าเรารู้สึกยังไง และเราเท่านั้นที่จะเป็นคนพาตัวเองให้ผ่านพ้นระยะต่างๆไปได้ แต่ถ้าเราอยู่ในฐานะคนรอบข้างทั้งหมดที่ำทำได้ก็คงจะเป็นการอยู่เป็นกำลังใจ และปลอบโยนเขาจนกว่าเขาจะยอมรับได้เท่านั้น

อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่างนะคะ




วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2556

ขาลายเพราะ เส้นเลือดขอด

เห็นคำว่าเส้นเลือดขอด สาวๆหลายคนคงก้มลงดูเรียวขาของตัวเองว่ามีเส้นเลือดขดๆ ปูดๆ ที่เรียกว่า "เส้นเลือดขอด"อยู่บ้างรึเปล่า หรือบางคนก็อาจกังวลกับปัญหานี้มานานแล้ว ซื้อยามาทา มากินอยู่แต่ก็ยังไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ เส้นเลือดขอดเกิดจากอะไร และรักษายังไง มาดูกันค่ะ

"เส้นเลือดขอด"คืออะไร
เส้นเลือดขอดคือเส้นเลือดดำที่ขาของเรามันขยายใหญ่ขึ้น โดยเป็นเฉพาะเส้นเลือดดำที่อยู่ผิวๆนะคะ บางคนก็ขยายใหญ่เป็นเป็นเส้นเลือดสีเขียวๆม่วงๆชัดๆที่ขา หรือบางคนก็ถึงกับปูดเห็นเป็นเส้นระโยงระยางค์เลยทีเดียว 

หนุ่มๆบางคนที่กล้ามเนื้อขาขึ้นเป็นลูกแข็งปึ้ก ก็อาจจะสงสัยว่าแล้วเส้นเลือดเส้นใหญ่ๆ ที่ปูดๆตามแขนตามขาของตัวเอง ใช่เส้นเลือดขอดรึเปล่า คำตอบคือ เส้นเลือดขอดนอกจากจะเป็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาแล้ว ต้องมีลักษณะ คดไปคดมาหยึกหยักๆด้วยนะคะ ซึ่งเส้นเลือดโตๆของผู้ชายร่างล่ำบึกส่วนใหญ่จะเป็นเส้นที่วิ่งตรงไปเรียบๆ ไม่ค่อยหยึกหยักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เส้นเลือดเหล่านั้นก็ไม่ใช่เส้นเลือดขอดนะคะ ทั้งนี้ก็ไม่ได้แปลว่าผู้ชายจะไม่เป็นเส้นเลือดขอดนะคะ อย่างที่บอก มันต้องคดเคี้ยวค่ะ ถึงจะเรียกว่าเส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอดเกิดจากอะไร
อย่างที่บอกว่า เส้นเลือดขอด คือเส้นเลือดดำที่โป่งออก เส้นเลือดดำเนี๊ยปกติแล้วเป็นเส้นเลือดที่รับของเสียจากร่างกายมารวมกัน เหมือนถนนตามซอยวิ่งเข้าไปรวมกันเป็นถนนเส้นใหญ่ เพื่อส่งเลือดกลับไปที่หัวใจ ยกตัวอย่างเช่นเลือดดำจากที่ขาก็จะวิ่งสวนทางกับแรงโน้มถ่วงของโลก ขึ้นไปตามขาเพื่อกลับเข้าสู่หัวใจ คำถามคือแล้วเลือดพวกนี้มันเอาแรงวิ่งสวนทางกับแรงโน้มถ่วงโลกได้ยังไง??? คำตอบคือมันอาศัยการบีบตัวของกล้ามเนื้อ ไม่เชื่อขอท้าให้นั่งห้อยขาแบบห้ามกระดุุกกระดิกเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นเวลา 3 ชั่วโมง รับรองว่านอกจากเมื่อยแล้ว ขาก็จะบวมด้วยค่ะ เป็นเพราะว่าเลือดดำไม่สามารถวิ่งขึ้นได้ ถ้าปราศจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ
เส้นเลือดขอด, varicose vein, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

นอกจากนั้นเส้นเลือดดำก็จะมีประตูเป็นข้อๆไปตามความยาวของเส้นเลือดดำ โดยประตูนี้จะยอมให้เลือดวิ่งผ่านเฉพาะทิศทางที่จะไปหัวใจเท่านั้น ห้ามวิ่งกลับ ถ้ามันพยายามจะวิ่งกลับมันก็จะผ่านประตูไม่ได้ สรุปแล้วนึกถึงถนนที่บังคับรถวิ่งทางเดียว เหมือนกับประตูของเส้นเลือดดำ แล้วมีคุณจราจรคอยไล่รถให้ผ่านถนนไปเร็วๆ เหมือนกับกล้ามเนื้อ เลือดดำก็จะวิ่งไปในทิศทางที่ต้องการ

พล่ามซะนาน ยังไม่ได้คำตอบว่าเส้นเลือดขอดเกิดจากอะไร555 เส้นเลือดขอดเกิดได้จากไม่ประตูเสีย ก็กล้ามเนื้อไม่ทำงาน จริงมั๊ยค่ะ กล้ามเนื้อไม่ทำงานนี่คือคนที่ยืนนานๆ หมายถึง"ยืนเฉยๆ" นะคะ ไม่รวมเดินทั้งวัน การยืนเฉยๆทำให้เลือดตกสู่ข้างล่างตามแรงโน้มถ่วง เลือดดำก็จะไปกองมากที่ขา แล้วยังยืนเฉยๆอีก ทีนี้เลือดดำก็ไม่วิ่งด้วย เลือดดำที่กองมากๆที่เส้นเลือดที่ขาเป็นเวลานานๆก็เลยทำให้เส้นเลือดดำที่ขาโป่งออก กลายเป็นเส้นเลือดขอดนั่นเอง

ส่วนประตูเสียเนี๊ย อันนี้เป็นกระบวนการตามอายุ และพันธุกรรม บางคนเป็นตั้งแต่ยังอายุน้อยก็มี เพราะว่าประตูที่หลอดเลือดดำทำงานได้ไม่ปกติซะแล้ว เลือดก็เลยกองที่ขามาก แม้ว่าจะมีการทำงานของกล้ามเนื้อปกติ แต่เลือดดำก็ยังย้อนกลับมากองที่ขาได้เหมือนเดิมนั่นเอง

เส้นเลือดขอดจะเกิดกับใครบ้าง
พันธุกรรมมีส่วนมาก เพราะบางส่วนเกิดจากประตูของเส้นเลือดดำที่ผิดปกติ ซึ่งก็ไม่มีสาเหตุแน่ชัด นอกจากนี้ก็เกิดกับคนที่ต้องยึนเฉยๆนานๆเป็นอาชีพ เช่น ทำงานขายของ พนักงานตามห้างที่ขายเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ที่ต้องยีนเฉยๆทั้งวัน รวมไปถึงหมอผ่าตัดที่ต้องยืนผ่าตัดวันละหลายๆชั่วโมงด้วย

รักษายังไง
ยาทา หรือยากินส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ สำหรับรายที่เป็นไม่มากจะมีถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอด ลักษณะจะเป็นถุงน่องที่รัดตั้งแต่ปลายเท้ายาวมาถึงเข่า หรือถึงต้นขา (อันที่รัดแต่เข่าไม่ใช่นะคะ อันนั้นสำหรับพยุงข้อเข่า) และต้องมีแรงรัดพอสมควร (30-40 มิลลิเมตรปรอท) ไม่ใช่ถุงน่องหรือ Legging ทั่วๆไปนะคะสาวๆ ถุงน่องเนี๊ยจะช่วยได้สำหรับเส้นเลือดขอดที่เล็กมากๆ เป็นฝอยๆ แต่ผลส่วนใหญ่จะออกไปในแนวช่วยป้องกันมากกว่า ถ้าเราต้องยืนนานๆจะซื้อมาใส่ก็ได้ค่ะ ถามหาได้ตามร้านขายยาใหญ่ๆ ราคาแพงซักหน่อย ใส่่แล้วรำคาญซักหน่อย แต่ก็ป้องกันได้ดีค่ะ

ฉีดยา เป็นยาที่กระตุ้นให้เส้นเลือดเกิดการตีบและกลายเป็นพังพืด เป็นการทำลายเส้นเลือดนั้นไปเลย (ไม่ต้องห่วงค่ะ เส้นเลือดที่ผิวๆเป็นเส้นเลือดที่ไม่สำคัญมาก ร่างกายเราจะมีเส้นเลือดเล็กๆมากมาย เลือดสามารถวิ่งออกทางอื่นได้ค่ะ) อันนี้ก็เจ็บซักหน่อยเวลาที่ฉีดยา แต่หลังฉีดก็ต้องใส่ถุงน่องสำหรับเส้นเลือดขอดซักระยะหนึ่งนะคะ แต่ได้ขาสวยๆแน่นอนค่ะ

สุดท้าย ถ้าเกิดว่าเส้นใหญ่มาก และมีการทำงานของประตูของเส้นเลือดดำที่ผิดปกติด้วย อันนี้คงต้องจบด้วยการผ่าตัดค่ะ แต่ส่วนใหญ่เราจะทำในรายที่มีอาการด้วยเช่น ปวด หรือมีแผลเรื้อรังที่เกิดจากเส้นเลือดขอดนั้น ถ้าตั้งใจทำเพียงเพราะความสวยงามก็ไม่ค่อยแนะนำค่ะ

บางคนอาจเคยได้ยินการเลเซอร์เพื่อรักษาเส้นเลือดขอด อันนี้สำหรับเส้นเลือดขอดที่ขาไม่ค่อยแนะนำค่ะ เพราะว่าจะต้องใช้ความร้อนที่มาก ผิวหนังที่ขาอาจไหม้ได้เลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะใช้กับเส้นเลือดเล็กๆ เช่นที่หน้ามากกว่าค่ะ

จบเรื่องเส้นเลือดขอด แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย และป้องกันเส้นเลือดขอดด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

ความดันสูง แล้วไงเหรอ??

ความดันโลหิตสูง, ความดันเลือดสูง, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

ความดันโลหิตสูง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆบ่อยว่า "โรคความดันสูง" เป็นโรคที่คนสูงอายุเป็นกันมาก ส่วนใหญ่ต้องกินยาต่อเนื่อง และมักเกิดคำถามว่า "ก็สบายดี ทำไมต้องกินยาด้วย" "ความดันสูงแล้วทำไมเหรอ ก็ยังแข็งแรงดีอยู่" วันนี้จะมาอธิบายสำหรับคนที่อยากรู้ว่า "ความดันสูง แล้วไงเหรอ???"

มารู้จักความดันโลหิตกันก่อน
ความดันโลหิตหรือความดันเลือดก็เหมือนแรงดันน้ำในท่อน้ำ โดยที่ท่อก็คือเส้นเลือดของเรา และน้ำก็คือเลือดของเรา ส่วนปั๊มน้ำที่ปั๊มให้เกิดแรงดันก็คือหัวใจ หัวใจเราปกติบีบแล้วคลายแล้วบีบแล้วคลาย ช่วงที่บีบจะเป็นตอนที่ความดันเลือดของเราสูงที่สุด และตอนที่หัวใจคลายตัวจะเป็นตอนที่ความดันต่ำสุด เป็นสาเหตุที่ความดันเลือดจะมี 2 ค่า เช่น 129/70 ค่าแรกคือตอนหัวใจบีบตัว ค่าหลังคือตอนหัวใจคลายตัวค่ะ

ความดันโลหิตสูง ไม่ดีตรงไหน
นึกถึงปั๊มน้ำที่ส่งน้ำประปาให้เราใช้ที่บ้าน ปั๊มมันทำงานทุกวันเพื่อปั๊มน้ำขึ้นมาให้เราใช้ไม่ว่าบ้านของเราจะมีสองชั้น สามชั้น ก็ตาม ลองนึกว่านานๆเข้า เกิดท่อที่บ้านของเราเริ่มมีสิ่งสกปรกไปเกาะ บางส่วนก็เริ่มตีบ ยิ่งถ้าท่อที่ตีบเป็นท่อหลักใหญ่ๆ เราก็เริ่มต้องปรับให้ปั๊มน้ำทำงานมากขึ้น เพื่อให้มีน้ำเพียงพอกับที่เราใช้ เหมือนกันค่ะ เวลาที่เราอายุมากขึ้น หลอดเลือดของเราเริ่มตีบ ทั้งจากอายุการใช้งานมานาน และจากการที่มีไขมันมาเกาะตามหลอดเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบ ร่างกายเราจะสั่งให้หัวใจต้องบีบตัวแรงขึ้น เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะของเราได้เพียงพอ

คิดง่ายๆแค่นี้ก็รู้แล้วว่า เวลาที่ความดันเลือดเราสูง หัวใจเราต้องทำงานหนักขึ้นแน่นอน อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคิดคือ "แล้วทำไมเส้นเลือดเราถึงตีบหล่ะ?? " นั่นบ่งบอกถึงว่าเรามีไขมันในเลือด หรือหลอดเลือดในร่างกายของเราเริ่มเกิดปัญหา ดังนั้นการที่ความดันเลือดของเราสูงบ่งบอกทั้งสภาพหลอดเลือดของเราที่เริ่มมีปัญหา และหัวใจของเราที่กำลังทำงานหนัก

การศึกษาทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า การมีความดันเลือดสูงกว่าปกติทำให้คนๆนั้นมีความเสี่ยงกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดในสมองตีบ(ก็คือจะทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต) และโรคไตวาย ได้มากกว่าคนทั่วๆไป นอกจากนี้วันดีคืนร้ายความดันที่สูงๆก็สามารถทำให้หลอดเลือดที่มีปัญหาเหล่านี้แตกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะถ้าเป็นหลอดเลือดในสมองก็อาจจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้เหมือนกัน นี่เป็นสาเหตุที่หมอทุกคนแนะนำให้คนไข้ความดันโลหิตสูงกินยา และควบคุมความดัน ทั้งๆที่ตอนนี้สบายดีอยู่ เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่เล่ามานั่นเอง

จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นความดันเลือดสูง
ก็ต้องไปวัดความดันค่ะ ความดันคนทั่วไปอยู่ในช่วง 90/60-140/90 สูงแค่ตัวใดตัวหนึ่งก็ถือว่าสูงแล้วค่ะ มีข้อระวังอยู่นิดนึงคือ ความดันเลือดของเราปกติจะไม่คงที่ในแต่ละเวลา ถ้าเรากำลังตื่นเต้น ออกกำลังกาย หรือเดินมาเหนื่อยๆ สามารถทำให้ความดันสูงได้ โดยปกติถ้าเราวัดได้สูง จะได้รับการแนะนำให้นั่งพักจนหายเหนื่อยก่อน แล้วค่อยวัดใหม่ ถ้าลงอยู่ในเกณฑ์ปกติก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ ยังไม่เป็นความดันโลหิตสูง

ต้องไปตรวจเมื่อไหร่
โรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ บางคนอาจมีอาการบ้างเช่น ปวดหัวบีบๆ เวียนหัว หรือบางคนก็เป็นอาการหนักๆอย่างอัมพฤกษ์ อัมพาตไปเลยก็มี โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีความดันโลหิตสูง

โดยทั่วไปถ้าเราไปโรงพยาบาลก็จะได้รับการวัดความดันเลือดอยู่แล้ว แต่ถ้าสบายดีแล้วอยากไปตรวจเรียกว่าเป็นตรวจ Check up ร่างกาย แนะนำให้เริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปเลย ตรวจอย่างน้อยทุก 2 ปี และถ้าอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจอย่างน้อยทุกปี (ถ้าสูงแล้วก็อาจจะต้องตรวจบ่อยกว่านั้นนะคะ)

รักษายังไง
อันดับแรกก็เป็นการปฏิบัติตัว รสอาหารที่มีเกลือ หรือผงชูรสมากๆ (งดอาหารเค็ม) กินผักผลไม้ รสอาหารมันๆ ของทอด ลดน้ำหนักถ้ามีน้ำหนักเกิน งดแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ(อ่านเรื่องการออกกำลังเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ)

บางครั้งการปฏิบัติตัวอย่างที่ว่ามาแล้วก็จะลดความดันได้ระดับหนึ่ง แต่อาจจะยังไม่ปกติ ต้องอาศัยการกินยาช่วยด้วย แต่ถึงจะกินยาแล้วการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมก็ควรทำต่อไปนะคะ ทำให้เราไม่ต้องกินยาเยอะค่ะ

อีกอย่างที่อยากบอกคือ โรคความดันโลหิตสูง เมื่อเป็นแล้วก็ต้องรักษาไปตลอดนะคะ ไม่มีการหายแล้วหยุดกินยาได้ อย่าได้เบื่อหรือรำคาญเลยค่ะ กินยาวันละ 3-4 เม็ด ดีกว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนอนติดเตียงนะคะ

ขอให้แข็งแรงกันทุกคนค่ะ

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ฉันเป็นโรคซึมเศร้ารึเปล่า?

โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่เราเคยเห็นกันบ่อยๆ (โดยเฉพาะในละครไทย) แต่บางครั้งเราก็อาจไม่รู้ว่านี่คือโรคซึมเศร้ารึเปล่า แล้วเวลาที่เรารู้สึกเศร้ามากๆ หลายคนก็เริ่มสงสัยว่า ตัวเองจะเป็น "โรค" รึเปล่า วันนี้มีคำตอบเกี่ยวกับโรคนี้ค่ะ
โรคซึมเศร้า, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่อยากรู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

ฉันแค่เศร้า หรือเป็น"โรคซึมเศร้า"
แน่นอนเราทุกคนต้องเคยเศร้า ไม่ว่าเราจะเศร้าด้วยเหตุผลอะไร ตกงาน สอบตก เอนท์ไม่ติด แฟนบอกเลิก โจรขึ้นบ้าน ไฟไหม้บ้าน ญาติ หรือคนใกล้ชิดเสียชีวิต ฯลฯ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ "ภาวะ" ซึมเศร้าได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะเป็นถึงขนาด "โรค" ได้นั้น มีเส้นแบ่งอยู่ คือ "การใช้ชีวิต" และ "ระยะเวลา"

สำหรับเรื่องการใช้ชีวิต ภาวะซึมเศร้าโดยทั่วๆไปนั้น เราจะยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ (ไม่นับรวมถึงการหยุดงานเพื่อไปเฝ้าไข้ญาติพี่น้อง หรือลาไปเขตเืพื่อเซ็นใบหย่านะคะ) เรายังกินได้ นอนหลับ ไปทำงานได้ อันนี้ถือว่าเป็นภาวะซึมเศร้าทั่วๆไป ไม่ถึงกับเป็นโรค

ส่วนเรื่องระยะเวลา เวลาที่่เราพึ่งช็อคจากเหตุการณ์บางอย่าง อาจจะมีอยู่บ้างที่เรากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไปทำงานไม่ได้ หมดเรี่ยวหมดแรง หมดกำลังใจทำงาน อาการแบบนี้เกิดขึ้นได้ในคนปกติ แต่จะเป็นแค่ช่วงแรกๆ ระยะเวลาโดยทั่วไปไม่เกิน 2 สัปดาห์ ภาวะซึมเศร้านี้จะดีขึ้น และพอจะกลับไปดำเนินชีวิตปกติได้ แต่ถ้าเรายังคงซึมไม่เป็นอันกินอันนอนเข้าไปเป็นหลายสัปดาห์ จนถึงเป็นเดือน อันนี้ก็ถือว่าเป็น "โรคซึมเศร้า" แล้วค่ะ

อาการของโรคซึมเศร้า
การซึมเศร้าของแต่ละคนก็จะมีการแสดงออกต่างกันไป อาการหลักๆคืออาการซึม หมดอาลัยตายอยาก รู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า นอกจากนี้ก็จะมีอาการอื่นๆอีกได้แก่

พฤติกรรม หรือความคิดที่เปลี่ยนไป เช่น รู้สึกหมดหวังในชีวิต รู้สึกว่าโลกนี้เลวร้าย มีแต่สิ่งไม่ดีรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีความสามารถ ทำอะไรก็ไม่ดี รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิต จุดสังเกตคือ แม้แต่อะไรที่เคยชอบทำก็ยังไม่อยากทำ เช่นบางคนเคยชอบเล่นกีฬามาก แต่ตอนนี้แม้จะมาชวน หรือขอร้องให้ไปก็ยังไม่อยากไป ทำอะไรเชื่องช้า เหมือนไม่มีแรง อยากอยู่เฉยๆอย่างเดียวตลอด ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้ คิดหรือตัดสินใจอะไรก็เชื่องช้า คิดไม่ออกไปหมด

การทำกิจวัตรประจำวันไม่ค่อยปกติ ได้แก่ นอนไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือ นอนตลอดเวลา กินอาหารได้น้อยลง ไม่กินข้าว หรืออาจจะกินมาก กินตลอดเวลาจนน้ำหนักขึ้นมาก (อย่างเช่นนางเอกที่นั่งกินไอติมหลังอกหักในหนัง)

นอกจากนี้ อันที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความคิดที่จะ "ฆ่าตัวตาย" อาการนี้พบได้มากในคนไข้โรคซึมเศร้า และถือเป็นภาวะฉุกเฉินสำหรับโรคนี้ที่เดียว (อาจไม่ถึงกับต้องเข้า ICU แต่เกี่ยวกับความเป็นความตายเหมือนกัน)

การรักษา
เป็นการรักษาที่เรียกว่า "จิตบำบัด" เป็นการรักษาโดยจิตแพทย์ และนักจิตวิทยา ลักษณะคล้ายๆกิจกรรมที่เราเคยเห็นในหนังฝรั่ง การพูดคุย ตอบคำถาม การทำกิจกรรมกลุ่ม ทั้งนี้ก็ร่วมกับการรับประทานยาแก้เครียดด้วย

การรักษาด้วยการ "ช็อตไฟฟ้า" แบบที่เคยเห็นในหนังโรคจิตทั้งหลาย มีอยู่จริงค่ะ แต่เราจะใช้กับโรคทางจิตที่รุนแรงเท่านั้นค่ะ




การถ่ายรูปตับไตไส้พุง

เคยมั๊ยเวลาเป็นอะไรซักอย่าง ไปหาหมอแล้ว หมอก็บอกว่าให้ไปเอ็กซเรย์ก่อน จะได้รู้ว่าเป็นอะไร พอทำแล้วก็บอกว่าจะต้องทำเพิ่มอีก เป็นอัลตร้าซาวด์ เป็นเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นเอ็กซเรย์ฉีดสี เป็นเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็ก เอ็กซเรย์นุ้นนี่นั่นเต็มไปหมด แต่ละอันมันต่างกันยังไง วันนี้มาไขข้อข้องใจค่ะ

เอ็กซเรย์เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่หมอเรียกกันว่า Imaging ถ้าจะแปลให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการ"ถ่ายรูป"นั่นเอง แต่ทางการแพทย์เป็นการถ่ายรูปเข้าไปถึงตับไตไส้พุงกระดูกของคนไข้ (ไม่ค่อยสวยเหมือนกล้อง SLR หรอกค่ะ) เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค การถ่ายรูปเหล่านี้ก็มีเครื่องถ่ายหลายชนิดมากมาย ซึ่งจะเล่าต่อไปนะคะ

หลักการแบบหมอๆ
มีความจริงหนึ่งที่ทุกคนควรจะรู้ "ไม่มีเอ็กซเรย์ใดที่สแกนทั้งร่างกาย แล้วบอกได้ว่าคุณแข็งแรง 100%" เอ็กซเรย์แต่ละแบบ เหมาะกับโรคแต่ละโรคไม่เหมือนกัน เหมือนกับอุปกรณ์ครัว ไม่มีหม้ออันไหนที่ทำทุกอย่างได้ดีในอันเดียว เราอาจจะพยายามหุงข้าวในกระทะได้ แต่มันก็อาจจะได้ผลไม่เหมือนหุงในหม้อหุงข้าว ทุกอย่างแม่ครัวรู้ดีที่สุดว่าควรจะใช้อะไร เหมือนกันค่ะ หมอจะเลือกการตรวจที่เหมาะกับโรคที่สงสัยมากที่สุด
เอ็กซเรย์, ถ่ายภาพรังสี, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

อีกประเด็นคือ หมอเหมือนกับนักสืบถ้าเคยดูหนังหรืออ่านหนังสือสืบสวน นักสืบจะรวบรวมข้อมูล แล้วประติดประต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะหาหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้ร้าย !! กระบวนการคิดของหมอก็เหมือนกันค่ะ เรารวบรวมข้อมูลจากปากคำของคนไข้ ตรวจที่เกิดเหตุ(ตรวจร่างกาย) รวบรวมแล้วคิดอย่างรวดเร็ว (ระหว่างที่นั่งคุยกับคนไข้นั่นแหละค่ะ) แล้วก็พยายามหาหลักฐานเอาผิด ซึ่งก็คือการส่งตรวจอย่างเจาะเลือด หรือ การ Imaging นั่นเอง ดังนั้นบางทีถ้าผู้ร้ายออกจะฉลาดซักหน่อย อาจจะต้องงมหาหลักฐานนานหน่อย ก็ใจเย็นๆนะคะ (กำลังพยายามอย่างมากทีเดียวค่ะ)

Imaging มีกี่แบบ
กลับมาเข้าเรื่องของเรา วันนี้จะขอเล่าเฉพาะอันที่เป็นพื้นฐาน ใช้บ่อยๆทางการแพทย์นะคะ การถ่ายรูป หรือ imaging ของแพทย์ เป็นการถ่ายรูปสิ่งที่มองไม่เห็นจากภายนอก ดังนั้นก็เลยต้องอาศัยคลื่นบางอย่างที่มีอำนาจทะลุทะลวง เข้าไปข้างในร่างกายได้ค่ะ

1. X-ray หรือรังสีเอ็กซ์ เป็นชื่อที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี มันเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง (เหมือนกับแสง และคลื่นวิทยุ ก็เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แต่ความยาวคลื่นไม่เท่ากัน) สามารถทะลุทะลวงเนื้อเยื่อต่างๆได้ สิ่งที่กำบังมันได้คือ "โลหะ"

X-ray แบบพื้นๆที่เราเคยเห็นเป็นแผ่นฟิลม์รูปใหญ่ๆ ไปยืนให้เจ้าหน้าที่กดปุ่มหนึ่งทีก็เสร็จแล้ว อันนั้นเป็นเอ็กซเรย์ธรรมดา ส่วนใหญ่เอาไว้ดูกระดูกนะคะ ดูนิ่วบางชนิด และดูลักษณะบางอย่างของลำไส้ได้ แต่ถ้าจะถามว่า เลือดออกในสมองมั๊ย? เป็นไส้ติ่งรึเปล่า? หัวใจเป็นยังไง? อันนี้เอ็กซเรย์ธรรมดาจะบอกอะไรได้น้อยมาก(จะเรียกว่าไม่ได้เลยก็ได้)เพราะมันเป็นเนื้อเยื่ออ่อนๆ ไม่ใช่กระดูกค่ะ x-ray จะเห็นชัดๆต้องเป็นโรคทางกระดูกค่ะ

ต่อมาก็เป็น เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computerized Topography) ก็ยังใช้าคลื่น x-ray เหมือนเดิม แต่ทีนี้ไม่ได้ยิงทีเดียว เรียกว่า ยิงจนพรุนทีเดียว หลักการก็คือยิงหลายๆภาพ แล้วก็ใช้คอมพิวเตอร์เอาภาพมาประกอบให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น อันนี้เวลาทำเราจะได้เข้าไปใน"อุโมงค์" บางคนอาจจะเคยทำมาแล้ว

ละเอียดขึ้นอีกก็เป็น เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์นี้แหละ แต่ว่ามีการฉีดสารเข้าทางหลอดเลือดดำด้วย วิธีนี้ก็เหมือนกับเราลงสีบนรูปปั้นปูนพลาสเตอร์ ทำให้เราเห็นรายละเอียดของหน้าตาส่วนโค้งส่วนเว้ามากขึ้น

2. อัลตร้าซาวด์ (ultrasound) อันนี้เป็นคลื่นสั่นสะเทือน เหมือนกับคลื่นเสียงแต่ถี่กว่า ส่วนใหญ่ใช้ดูอวัยวะต่างๆได้ ข้อดีคือทำได้ง่าย สะดวก เครื่องจะไม่ใหญ่มากและไม่ซับซ้อนมาก ปลอดภัยกว่ารังสี X-ray ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าโดนมากๆ (แบบทุกวันๆ วันละหลายๆครั้ง) อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ และทำให้เด็กในครรภ์พิการได้ แต่ultrasound ปลอดภัยสำหรับคนท้อง ที่เรามักจะได้ยินว่า "ซาวด์ดูรึยังว่าได้ลูกผู้หญิง หรือผู้ชาย"

3. คลื่นแม่เหล็กทางการแพทย์เรียกว่า MRI (Magnetic resonance imaging) อันนี้ได้รายละเอียดเนื้อเยื่อค่อนข้างมาก แต่ราคาเครื่องแพงมาก มีเฉพาะในโรงพยาบาลใหญ่ๆ ค่าทำก็ค่อนข้างแพงเช่นกัน มีข้อเสียอยู่ที่ใครที่มีโลหะอยู่ในตัว เช่นเคยเปลี่ยนข้อ ผ่าตัดกระดูกดามเหล็กมาเข้าไม่ได้นะคะ เพราะว่าแม่เหล็กจะดูดไปหมด มีโอกาสบาดเจ็บจากโลหะที่อยู่ในตัวพยายามจะวิ่งเข้าหาแม่เหล็กได้เลยทีเดียว

หวังว่าจะไขข้อข้องใจให้กับหลายๆคนได้นะคะ ขอให้ทุกคนแข็งแรง ไม่ต้องไปให้หมอถ่ายรูปนะคะ สวัสดีค่ะ

ริดสีดวงทวาร นั่งไม่ได้จริงหรือ??

"ก็ลมมันเย็น" เป็นประโยคฮิตอยู่ช่วงหนึ่งสมัยที่หมอยังเด็กๆ พูดเล่นกันทีไรก็หัวเราุะทุกที ด้วยความรู้สึกว่าเป็นวิธีบอกว่า "ฉันเป็นริดสีดวงนะ" แต่ไม่อยากพูดตรงๆ ความจริงอาจเป็นเพราะโรคนี่ใครเป็นก็มักจะรู้สึกอาย เพราะว่าเป็นโรคที่อยู่ในที่ลับ แม้จะต้องถอดให้หมอตรวจก็เรียกว่าต้องแข็งใจกันสุดๆ โรคนี้เป็นยังไง วันนี้ขอมาเล่าไขความกระจ่างค่ะ

มันเป็นยังไง???
สำหรับหลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโรคนี้เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนที่เป็นริดสีดวงจะมาหาหมอเพราะว่ารู้สึกว่ามีก้อนจุกอยู่ที่ทวารหนัก ไมไ่ด้อุดตันนะคะ ยังถ่ายอุจจาระได้อยู่ แต่ก้อนมันอยู่ตรงนั้น และอีกส่วนหนึ่งมาเพราะว่าถ่ายเป็นเลือดสด ไม่ใช่แค่ปนเล็กน้อยนะคะ แต่ไหลออกมาเยอะมากเลย ตกใจ เลยมาหาหมอ อีกส่วนหนึ่งมีอาการปวดที่ก้น ปวดมากนั่งไม่ได้จนต้องบอกว่า "ก็ลมมันเย็น" :P

แล้วมันคืออะไร??
ริดสีดวงทวารเกิดจากการโป่งพองของเส้นเลือดดำค่ะ เป็นเส้นเลือดดำที่อยู่ข้างในลำไส้ของเรา ใกล้ๆกับรูก้น เวลาที่เรามีแรงดันจากลำไส้มากๆ เช่น เป็นท้องผูกบ่อยๆ ต้องเบ่งอุจจาระมาก การตั้งครรภ์ ความอ้วน เส้นเลือดดำของเราก็เหมือนกับลูกโป่งน้ำค่ะ เราถือเอาปากลูกโป่งขึ้น ปลายลูกโป่งข้างล่างมันก็จะโป่งๆ แล้วถ้าเรามีความดันของลำไส้มากก็เหมือนกับเราพยายามบิดลูกโป่งน้ำข้างบน  บิดไปเรื่อยๆ ตรงปลายของมันก็ยิ่งโป่ง ยิ่งโป่ง (เสี้ยวไส้ว่าจะแตกทีเดียว) นั่นแหล่ะคะ เวลาเราเบ่งบ่อยๆ หรือเวลาที่เราอ้วน เส้นเลือดดำที่ก้นก็จะยิ่งโป่งๆ เป็นจนเป็นก้อนโผล่ออกมาทางรูก้นเลยทีเดียว

จะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็น
ความจริงแล้วถ้าเป็นน้อยๆก็อาจไม่มีอาการเลย เชื่อกันว่าเราทุกคนมีริดสีดวงทวารด้วยซ้ำ เพียงแต่เป็นมากเป็นน้อย ถ้าเป็นน้อยๆ ไม่มีอาการอะไรก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ คุณยังถือเป็นคนปกติอยู่ (เพราะอย่างที่บอก ใครๆก็เป็นกัน) แต่ถ้ามันเริ่มก่อปัญหา อันนี้อาจจต้องรักษา

อาการของโรคนี้ก็อย่างที่บอก บางคนถ่ายออกมาเป็นเลือดสีแดงสดๆ ที่เลือดออกเป็นเพราะริดสีดวงเป็นเส้นเลือดดำที่โป่งออก ทำให้ผนังบางไปด้วย เวลามีอุจจาระที่แข็งก็จะไปขรูดกับเส้นเลือดดำทำให้ผนังฉีกขาด มีเลือดออกได้ค่ะ บางคนไม่ีเลือดออกแต่ปวดที่รูก้น ปวดหน่วงๆ ตึงๆ (ถ้าปวดจี๊ดแบบมีดบาด อาจจะไม่ใช่โรคนี้นะคะ) บางคนมีก้อนออกมาที่รูก้น โดยริดสีดวงจะแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ

ระดับหนึ่ง เป็นก้อนอยู่ข้างใน หมอตรวจแล้วเห็น แต่คนที่เป็นเองก็ไม่เห็นหรอกนะคะ

ระดับที่สอง มีก้อนออกมาเวลาที่เบ่งถ่าย แล้วก้อนก็กลับเข้าไปเอง อันนี้ส่วนใหญ่คนที่เป็นก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันเพราะว่าพอหยุดเบ่งก้อนริดสีดวงก็จะผลุบกลับเข้าไปเอง ยกเว้นว่าสังเกตจริงๆ ว่าเวลาถ่ายเหมือนมีก้อนมาจุกอยู่ที่รูก้น

ระัดับที่สาม มีก้อนออกมาเวลาที่เบ่งถ่าย แต่ถ้าจะให้กลัีบเข้าไปต้องใช้นิ้วดันกลับเข้าไป อาจจะดูน่าขยะแขยงนิดหนึ่ง แต่สำหรับคนที่เป็นการดันก้อนกลับเข้าไปได้ทำให้ใช้ชีวิตได้สบายขึ้นนะคะ

ระดับที่สี่ รุนแรงสุดคือถึงจะพยายามเอานิ้วดันกลับเข้าไป แต่มันก็ไม่ยอมกลับเข้าไป!!! (โอ้ น่ากลัวอะไรขนาดนั้น)
ริดสีดวงทวาร, hemorrhoid, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

รักษายังไงได้บ้างนะ
ก่อนอื่น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นริดสีดวงทวาร คือภาวะท้องผูกบ่อยๆ ดังนั้นถ้ารู้ว่าเป็นก็ควรกินน้ำมากๆ ทานอาหารที่มีกากใย ขับถ่ายให้เป็นเวลา ร่วมกับการรักษาริดสีดวงด้วยวิธีอื่นๆค่ะ

ถ้าเป็นไม่รุนแรง แค่ระดับที่หนึ่งก็อาจรักษาด้วยยารับประทาน และยาเหน็บที่ทวารหนัก ช่วยให้เส้นเลือดดำหดตัว และกินยาระบายเพื่อให้อุจจาระนิ่มลง ถ่ายได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องเบ่งมากเดี๋ยวริดสีดวงจะใหญ่ขึ้นอีก) นอกจากนี้หมอก็มักจะแนะนำให้แช่ก้นในน้ำอุ่นถ้าเกิดว่ามีอาการปวดมาก จะทำให้สบายขึ้น (ไม่เป็นไม่รู้หรอก)

ถ้าเป็นที่ระดับรุนแรงขึ้น เป็นระดับสอง หรือ หนึ่งที่ก้อนใหญ่หน่อย หรือ ลองใช้ยาแล้วแต่ไม่ได้ผลก็มีวิธีมามายใช้ เช่น รัดด้วยหนังยาง (อันนี้ต้องให้คุณหมอทำให้นะคะ เป็นหนังยางที่ทำมาสำหรับการนี้โดยเฉพาะค่ะ) จี้ไฟฟ้า เป็นต้น

สำหรับระดับสาม และระดับสี่ คงต้องอาศัยการผ่าตัด ตัดหัวริดสีดวงออกเลยนะคะ หลายคนก็คงกลัวการผ่าตัดอยู่ ช่วงที่แผลยังไม่หายดีก็อาจจะลำบากซักหน่อย แต่ว่าหลังจากนั้นก็สบายนะคะ

มากินผักผลไม้เพื่อการขับถ่ายที่ดี ปลอดจากโรคริดสีดวงกันนะคะ


วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ว่าด้วยการ "เย็บแผล"

บางคนอาจมีประสบการณ์กับการถูกเย็บแผลมาแล้ว ไม่ว่าจะจากเกิดอุบัติเหตุ เป็นแผลฉีกขาดต้องเย็บแผล หรือว่าเป็นแผลจากการผ่าตัด หรืออาจเป็นแผลเย็บจากศัลยกรรมเสริมความงาม บางทีก็ตัดไหม บางทีก็บอกว่าเป็นไหมละลาย ทำไมแต่ละอย่างถึงต่างกัน แล้วแต่ละแบบดูแลต่างกันยังไง มาดูกันค่ะ

ทำไมต้องเย็บแผล?
ถ้าเป็นแผลผ่าตัดก็ง่ายมากเพราะว่าเราผ่าผิวบริเวณนั้นเปิดออกก็เลยต้องเย็บกลับ แต่สำหรับแผลจากอุบัติเหตุ ถ้าเป็นแผลที่ไม่ลึกมาก อย่างแผลถลอกธรรมดา ผิวหนังของเราสามารถสมานตัวเองได้ ส่วนใหญ่แทบไม่ต้องรักษา แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ลึกกว่านั้น ผิวหนังจะต้องใช้เวลาในการสร้างผังพืดมายึดติดผิวหนังที่แยกออก ถ้าไม่เย็บแผลอาจต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ หรืออาจจะเป็นเดือน วิธีการที่ทำให้แผลหายเร็วขึ้น คือเย็บปากแผลให้ติดกัน การสมานแผลก็จะเร็วขึ้น พอแผลหายเร็วขึ้นโอกาสที่จะติดเชื้อก็น้อยลงตามไปด้วย

ทำไมบางทีใช้ไหมละลาย บางทีต้องตัดไหม
ถ้าเย็บด้วยไหมละลาย ส่วนใหญ่ เราจะใช้กับแผลผ่าตัดที่ขอบเรียบ เย็บให้ชิดกันแนบสนิทโดยง่าย เพราะการเย็บด้วยไหมละลายจะต้องซ่อนปมไว้ใต้ผิวหนัง ข้อดีของการเย็บด้วยไหมละลายคือ ไม่ต้องมาตัดไหม และมีรอยแผลเป็นน้อยกว่า ก็เลยนิยมใช้กับแผลที่ไม่ค่อยอยากให้มาตัดไหม เช่น แผลจากการคลอดลูกทางช่องคลอด แผลผ่าตัดเด็ก (ตัดไหมทีร้องไห้ลั่นโรงพยาบาล หมอ พยาบาล ญาติช่วยกันจับแทบไม่ไหว) เป็นต้น

แต่ข้อเสียก็มีอยู่ คือ ไหมละลายจะซ่อนอยู่ในผิวหนังเป็นเวลาหลายอาทิตย์ หรืออาจจะหลายเดือน สิ่งแปลกปลอมในร่างกายจะก่อให้เกิดการอักเสบได้ โดยเฉพาะยิ่งแผลที่ไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด อย่างแผลจากอุบัติเหตุ ของมีคม ต่างๆ ต่อให้ทำความสะอาดดีแล้วก็อาจยังมีเชื้อโรคปะปนอยู่ ปมไหมละลายที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น  ดังนั้นเราก็จะไม่นิยมใช้กับแผลอุบัติเหตุ แต่นิยมใช้กับแผลผ่าตัดที่ผ่าตัดในห้องผ่าตัดมากกว่า เพราะแน่ใจเรื่องความสะอาด
เย็บแผลดูแลยังไง, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


ข้อเสียต่อมาคือ เราประเมินเวลาละลายของไหมละลายได้ไม่แน่ชัด สำหรับแผลผ่าตัดในบริเวณที่มีแรงดึง หรือขยับอยู่ตลอดเวลาอย่างบริเวณข้อ หรือหน้าท้องก็ไม่ค่อยนิยมใช้ ยกเว้นแผลคลอดลูกที่เป็นแนวนอน เพราะเป็นแผลสะอาด และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยตึงเท่าไหร่

ส่วนไหมไม่ละลายก็มีข้อดีหลายอย่างคือ หมอสามารถควบคุมได้ เช่น ถ้าแผลแห้งดี ติดดี ก็ตัดได้ แต่ถ้าเกิดแผลยังไม่ค่อยดีจะทิ้งไว้ก่อนก็ได้ ถ้าเอาออกได้เร็ว ก็มีโอกาสติดเชื้อน้อย ในขณะที่ไหมละลายที่ทิ้งในร่างกายเป็นเดือนๆก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ส่วนเรื่องแผลเป็นความจริงแล้วถ้ามีเทคนิคการเย็บที่ดี แม้เย็บด้วยไหมไม่ละลายก็สามารถที่จะทำให้มีแผลเป็นน้อยได้เช่นกัน

กี่วันอาบน้ำได้
ความจริงถ้าเย็บแผลได้สนิทชิดกันดี ภายใน 24- 48 ชั่วโมงก็สามารถถูกน้ำได้ แต่ส่วนใหญ่จะเผื่อเพิ่มอีก 1 วันเพื่อให้การสมานแข็งแรงขึ้นซักหน่อย ดังนั้นก็รอซัก 3 วันค่อยโดนน้ำได้นะคะ

ทำแผลยังไง
ความจริงแล้วก็เช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ หรือเบตาดีนธรรมดา แล้วก็ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซเฉยๆ ก็โอเคแล้วค่ะ แต่ส่วนใหญ่เรานิยมให้คนไข้มาทำที่คลินิก หรือโรงพยาบาล เพราะอุปกรณ์ทำแผลของสถานพยาบาลผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วอย่างดีค่ะ

กี่วันตัดไหม
แผลส่วนใหญ่ใช้เวลา 1 สัปดาห์ค่ะ ยกเว้นแผลบริเวณที่มีการขยับบ่อยๆอย่างแผลที่ข้อ อาจยืดออกไปเป็น 10 วัน และแผลที่หน้าสามารถตัดได้ตั้งแต่ครบ 5 วัน เพราะใบหน้ามีเลือดมาเลี้ยงมาก แผลหายเร็ว
 และเราต้องการทิ้งไหมไว้เป็นเวลาสั้นที่สุด เพื่อลดรอยแผลเป็นที่อาจจะเกิดขึ้นค่ะ

เย็บแผลแล้วต้องกินยามั๊ย
ความจริงอันนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ขึ้นอยู่กับหมอประเมินแผลค่ะ แต่ถ้าเป็นแผลอุบัติเหตุส่วนใหญ่ก็จะให้กินยาฆ่าเชื้อกันการติดเชื้อไว้ อย่างที่บอกค่ะ บางคนไปโดนทั้งหินดินทรายเต็มแผล ต่อให้ล้างเป็นชั่วโมงๆ ก็อาจมีเชื้อโรคที่มองไม่เห็นติดค้างค่ะ กินยาดีกว่าเพื่อความสบายใจ นะคะ

อ่านเรื่องแผลเย็บแล้ว ถ้าสงสัยว่าเย็บแล้วถ้ามีคีลอยด์ หรือแผลเป็นนูนจะเป็นยังไง อย่าลืมติดตามนะคะ
แผลภายนอกรักษาได้ แผลใจรักษายากค่ะ สวัสดีค่ะ^.^

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคเกราะพะ กระเพาะ

โรคกระเพาะเป็นสาเหตุอาการปวดท้องที่พบบ่อยมาก ไม่แพ้จำนวนคนที่ใช้ ipad, iphone เลยทีเดียว(เกี่ยวกันตรงไหน) เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคกระเพาะมามากมาย รวมทั้งยารักษาโรคกระเพาะก็อาจจะรู้จักเป็นอย่างดี วันนี้เราจะมาเล่าถึงโรคกระเพาะ และบางอย่างเกี่ยวกับโรคกระเพาะที่คุณยังไม่รู้

โรคกระเพาะเกิดจากอะไร
โรคกระเพาะเป็นการอักเสบของผนังกระเพาะอาหาร ซึ่งมีหลายระดับ เหมือนกับแผลที่ผิวหนัง มีตั้งแต่แดงๆเจ็บ เป็นรอยถลอก หนักมากก็เป็นแผลลึกเลือดออก ผนังกระเพาะอาหารก็เช่นกัน มีตั้งแต่การอักเสบ เหมือนรอยแดงเจ็บๆบนผิวหนัง เป็นแผลเล็กน้อยแบบแผลถลอก ไปจนถึงแผลลึกเลือดออกเลยทีเดียว
โรคกระเพาะ, แผลในกระเพาะอาหาร, ปวดท้องลิ้นปี่, peptic ulcer, gastrits, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


แล้วแผล หรือการอักเสบเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยปกติแล้ว กระเพาะของเราทำงานหนักมากทุกครั้งหลังจากเรากินอาหาร มันมีหน้าที่ย่อยอาหารต่อจากปากของเรา (ดังนั้นนั้นถ้าอยากแบ่งเบาภาระกระเพาะ ต้องเคี้ยวให้ละเอียด) ย่อยเจ้าขาหมูชิ้นโตๆเนี๊ย เละจนเป็นโจ๊กเลยทีเดียว กรรมวิธีของกระเพาะก็คือการบีบตัว และใช้น้ำย่อยกับกรดมาใช้ย่อย นี่แหละตัวปัญหา "กรด" นึกถึงข่าวไม่นานมานี้ที่มีสาวเกิดอาการหึงห่วงจนเอาน้ำกรดไปสาดสาวอีกคน เป็นแผลไหม้เลยทีเดียว กรดในกระเพาะอาหารก็มีฤทธิ์แรงไม่แพ้กรดเหล่านั้นเลย แล้วเจ้ากระเพาะมันทนได้ไงเนี๊ย คำตอบก็คือ โดยปกติกระเพาะจะมีการสร้างสารเป็นเบสมาต้าน เคลือบผิวตัวเองไว้ให้ปลอดภัย แต่เกราะป้องกันกระเพาะนี้ถูกทำลายได้จากสาเหตุต่างๆ

-ภาวะเครียดทำให้เกิดการสร้างกรดมากกว่าปกติ
-การกินอาหารไม่ตรงเวลา เพราะกรดถูกสร้างแล้ว ถ้ามีอาหารเข้าไปผสมก็จะลดความเข้มข้นลง แต่พอไม่มีอาหารเจ้ากระป้องกันกระเพาะก็เลยสู้กรดไม่ได้ พ่ายแพ้กันไป
-รับประทานอาหารรสจัดมากๆ กระเพาะบางคนสามารถสร้างเกราะได้ไม่แข็งแรงเท่าไหร่ ครั้นถูกซ้ำเติมด้วยพริก น้ำส้มสายชู มะนาว ที่แสนเผ็ดร้อน ก็เลยต้องยอมแพ้ ยอมรับว่าอันนี้แล้วแต่คนจริงๆ บางคนที่เป็นอาจน้อยใจว่าทำไมเพื่อนกินอาหารเผ็ดกว่าเราอีกไม่เห็นเป็นอะไร อันนี้ก็ต้องทำใจ เพราะเราอาจมีปัจจัยอื่นๆส่งเสริมให้เป็นโรคกระเพาะเอาง่ายๆ
-ติดเชื้อ อันนี้ก็เป็นโชคร้ายเช่นกัน มีเชื้อแบคทีเรียตัวหนึ่งซึ่งพึ่งได้รับการค้นพบหลายปีก่อน ชื่อว่า H.pyroli มันทำให้การสร้างเกราะป้องกันของกระเพาะเสียไป บางคนไปรักษาโรคกระเพาะแต่ได้ยาฆ่าเชื้อมาก็ไม่ต้องสงสัย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นโรคกระเพาะจากเชื้อนี้ การจะรู้ได้ว่าโรคกระเพาะของเราเป็นจากเชื้อตัวนี้หรือไม่ ต้องได้รับการส่องกล้องเพื่อตรวจหาเชื้อตัวนี้เสียก่อน ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก ในประเทศของเราส่วนใหญ่จึงรักษาดูก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นจริงๆจึงจะทำการส่องกล้องเพื่อหาเชื้อนี้
-ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAID) บางคนอาจรู้จักยากลุ่มนี้อยู่ เช่น Ibuprofen, Diclofinac ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์แก้ปวดได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นปวดหัวปวดหลัง ปวดเข่า ปวดขา (ไม่รวมปวดตับ กับปวดใจนะตัวเอง) การกินระยะสั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในคนหนุ่มสาว ถือว่ายังปลอดภัย แต่การกินติดต่อเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุถือว่าอันตราย และอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะได้เลยทีเดียว
นอกจากนั้นก็มียากลุ่มสเตียรอยด์ ซึ่งบางคนที่มีโรคประจำตัวต้องกินยานี้ตลอดต้องระวังโรคกระเพาะที่จะตามมาได้

อาการเป็นยังไง
อาการที่พบบ่อยที่สุด และเรียกว่าเป็นอาการแบบตามตำราเป๊ะคือ อาการปวดแสบท้องบริเวณลิ้นปี่ อาการจะสัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร เช่น เป็นตอนท้องว่าง หรือ หลังกินอาหารมากๆ หรือ หลังกินอาหารรสจัด แต่ความเป็นจริง สิ่งที่หมอทั้งหลายเรียนกันมาจากตำรา กับ ความเป็นจริง มันไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบนั้น โรคกระเพาะมีอาการได้หลายแบบมากๆ เช่น
-บางคนปวดท้องที่ลิ้นปี่ แต่เป็นปวดบีบๆ เป็นพักๆ เดี๋ยวเป็น เดี๋ยวหาย ไม่ได้สอดคล้องกับการกินอาหารใดๆ อาการปวดบีบๆนี้เป็นได้ตั้งแต่พอรำคาญ จนถึงต้องลงไปนอนดิ้นเลยทีเดียว
-บางคนปวดท้องแถวๆสะดือ แต่ค่อนไปซ้าย หรือขวา อาการปวดเป็นแบบแสบๆ ไม่สัมพันธ์กับการกินอาหารเหมือนกัน
-บางคนรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หายใจไม่อิ่ม คนไข้ที่มีอาการนี้มักจะตกใจมาก เพราะบางคนรู้สึกเหมือนใจจะขาด หายใจไม่ออก ข้อควรระวังคือ ถ้าคุณเป็นคนอายุไม่มาก 20 กว่า 30 ต้นๆ ร่างกายแข็งแรงมาตลอด อาการนี้อาจเป็นเพียงอาการของโรคกระเพาะ แต่ถ้าเป็นคนที่อายุมากหน่อย มีโรคประจำตัวอย่างความดัน เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อาการนี้อาจบ่งบอกถึงโรคปอด หรือโรคหัวใจได้ ควรรีบไปพบแพทย์ด่วนนะคะ

สิ่งที่ต้องระวัง และน่ากลัวสำหรับโรคกระเพาะคือ อาการเลือดออก อย่างที่บอก แผลที่กระเพาะอาหารถ้ารุนแรงก็อาจเป็นแผลลึกที่มีเลือดออกได้ แต่เลือดอยู่ในท้อง จะรู้ได้ยังไงว่าเลือดออก คำตอบคือ "อุจจาระ" ค่ะ เลือดที่ออกมาจากกระเพาะจะผ่านมาตามลำไส้แล้วก็ถ่ายออกมา ซึ่งตอนนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีดำและเหนียวๆเหมือนยางมะตอยเลย  และถ้าเลือดปริมาณเยอะมากจะอาจจะเป็นเลือดสดออกมาเลยก็ได้ หรือบางคนถ้าคลื่นไส้อาเจียน ก็อาจจะอาเจียนเป็นเลือดเลยก็ได้ ดังนั้นโรคกระเพาะควรรีบรักษาและดูแล โดยเฉพาะถ้ากินยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID อย่างที่กล่าวไป ก็ควรพยายามเลี่ยงการกินระยะยาวนะคะ

ไม่ต้องตรวจเลือดเลยหรอ
หลายคนสงสัยว่า อาการปวดท้องจะแย่อยู่แล้ว ไม่ต้องตรวจเลือดเช็คหน่อยเหรอ ว่าเป็นอะไร อันนี้เป็นคำถามที่หมอทุกคนอยากให้ทุกคนเข้าใจ การตรวจเลือดไม่ใช่คำตอบของทุกอย่างนะคะ การตรวจเลือดเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยโรค จริงอยู่ บางโรคไม่สามารถวินิจฉัยได้ถ้าไม่ได้ตรวจเลือด และบางโรคสามารถตรวจพบได้จากการตรวจเลือดแม้ไม่มีอาการใดๆ แต่โรคส่วนใหญ่ วินิจฉัยได้จากอาการที่ผู้ป่วยเล่า ร่วมกับการตรวจร่างกายของแพทย์ (ที่หมอเอาหูฟังไปฟังมา กดท้องคุณไปมานั่นแหละ) เพราะฉะนั้นอย่าได้รำคาญเลยค่ะ ถ้าหมอของคุณจะเอาแต่ถามๆๆๆๆๆๆ แล้วก็กดตรงโน้นตรงนี้ ถามอยู่นั่นแหละว่าปวดมั๊ย กดแล้วปวดมั๊ย ปล่อยแล้วปวดมั๊ย (ปวดจะแย่อยู๋แล้ว รีบๆรักษาซะที) เพราะว่าทั้งหมดที่ถาม และทั้งหมดที่ตรวจก็เพื่อการวินิจฉัยทั้งสิ้น การตรวจเลือดเป็นเพียง 1 ใน 3 ของการวินิจฉัยค่ะ

รักษายังไง
การรักษาสำหรับแต่ละคนจะแตกต่างกันไป
มีเลือดออกในกระเพาะ
อันนี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ และต้องนอนโรงพยาบาล เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อาจจะน่ากลัว และน่าสยองซักหน่อย (แต่ก็อยากรู้ใช่มั๊ยหล่ะ) ถ้าคุณบอกว่ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดจำนวนมาก หรือถ่ายดำเหนียวเป็นยางมะตอย แพทย์จำเป็นต้องใส่สายสวนจมูก (Nasogastric tube) ใส่ทำไม มันเป็นท่อที่ใส่ทางจมูก แล้วลงไปตามทางเดินอาหารจนถึงกระเพาะ แล้วดูดสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมาดูว่า เลือดออกจากกระเพาะจริงหรือไม่ อันนี้ไม่ต้องให้ยาสลบ ไม่ต้องให้ยานอนหลับ ใส่ได้เลยที่ห้องตรวจ ฟังดูน่าสยดสยอง แต่อาจจะรำคาญ ระคายเคืองในคอเหมือนจะอาเจียนอยู่ แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการรักษา ถ้ามีเลือดออกจริงๆ คุณจะต้องไปส่องกล้อง อันนี้ดีหน่อยเพราะเราทำกันในห้องผ่าตัด แต่ไม่ได้ผ่าอะไรนะคะ ให้ยานอนหลับ แล้วก็ส่องกล้องจากทางปากนี่แหละ ลงไปดูในกระเพาะว่ามีเลือดออกตรงไหน ทำการห้ามเลือดก็เป็นอันเสร็จ แล้วก็กลับมากินยา หรือฉีดยา เหมือนกับคนไข้ที่ไม่มีเลือดออก

ไม่มีเลือดออก
ถ้าไม่มีเลือดออกการรักษาก็เป็นยา ซึ่งมีทั้งยาฉีด ยากิน แล้วแต่ความรุนแรง พระเอกของงานนี้ก็คือยาลดกรดในกระเพาะอาหาร กลไกก็คือลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนยาเคลือบกระเพาะอย่างยาน้ำสีขาวๆ เหมือนนมเนี๊ย(Alum milk ) ความจริงเป็นแค่ตัวประกอบของเรื่องช่วยลดอาการปวดเท่านั้นเอง
พระรองก็คือยาฆ่าเชื้อ ที่เป็นพระรองเพราะว่าถ้าพระเอกทำงานไม่สำเร็จ เราก็ต้องไปส่องกล้องตรวจดูว่ามีการติดเชื้อ H.pylori ไม่ ถ้ามียาฆ่าเชื้อถึงจะมามีบทบาท

สิ่งสำคัญคือ แผลในกระเพาะก็เหมือนแผลที่ผิวหนังที่ถูกน้้ำร้อนลวก ช่วงแรกก็ปวดแสบปวดร้อน พอรักษาไประยะหนึงก็หายปวด แต่แผลมันก็ยังอยู่ตรงนั้น ยังไม่หายดี ต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือนกว่าจะเรียบเสมอเหมือนคนอื่นเขา แผลในกระเพาะอาหารก็ต้องการเวลาในการหายเช่นกัน กว่าจะหายปวดก็ต้องกินยาไประยะหนึ่ง อาจจะเกือบอาทิตย์ และแม้หายปวดแล้วก็ยังต้องกินยาต่อไปอีกอย่างน้อย 6-8 เดือน ถึงจะหายจริงๆ ดังนั้นได้ยาไปแล้ว อย่าลืมต้องกินต่อเนื่องเพื่อให้แผลหายสนิทนะคะ

จบเรื่องโรคกระเพาะอาหาร วันหลังจะมีโรคปวดท้องอะไรมานำเสนออีก อย่าลืมติดตามนะคะ

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ข้อเท้าพลิก จะเป็นอะไรมากมั๊ย

ข้อเท้าพลิกเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้บ่อยมากๆ คนส่วนใหญ่น่าจะเคยเป็น ไม่ว่าจะเป็นสาวๆที่ตก(ส้น)ตึก หนุ่มๆที่เล่นกีฬาแล้วล้ม หรืออุบัติเหตุทางจราจรอย่างมอเตอร์ไซค์ล้ม ถ้าเกิดข้อเท้าพลิกแล้ว ปวดๆ เจ็บๆเล็กน้อยบางคนก็ไม่ได้กังวลอะไร พอเดินได้ก็เดินกันไป แต่บางคนข้อเท้าทั้งบวมทั้งเจ็บ เดินก็ไม่ค่อยไหวก็ต้องกังวลเป็นธรรมดา วันนี้จะมาเล่าเรื่องว่าด้วยข้อเท้าพลิกกันค่ะ

ข้อเท้าพลิกแล้ว เกิดอะไรขึ้น
โดยปกติเวลาที่เราขยับข้อเท้า ถ้าให้กระดกขึ้นกระดกลงก็จะทำได้โดยสะดวก แต่ถ้าให้เรางอข้อเท้าไปด้านข้าง ก็จะพบว่ามันออกจะติดๆซักหน่อย นั่นเป็นเพราะเรามี"เอ็นข้อเท้า" ที่ด้านข้างของเท้ายึดข้อเท้าเราไว้ ทีนี้นึกถึงเวลาที่เราข้อเท้าพลิกอย่างเร็วๆ เอ็นตรงนั้นก็จะเกิดการดึงยืด หรืออาจจะฉีกขึ้นมา ถ้าล้มแรงมากเช่น นอกจากข้อเท้าจะพลิกแล้วยังล้มลงเอากระดูกข้อเท้ากระแทกพื้น  หรือมีอย่างอื่นมาทับอีก อันนี้ก็เป็นไปได้ว่าจะมีกระดูกข้อเท้าหักร่วมด้วย (เริ่มน่ากลัวแล้วหล่ะสิ)

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าที่เราเป็นรุนแรงแค่ไหน
เวลาที่เราบาดเจ็บข้อเท้าพลิกแล้วไปหาหมอ ความจริงหมอๆทั้งหลายก็มีวิธีประเมินความรุนแรงอยู่ แบ่งเป็น 3 ระดับ

ระดับหนึ่ง คือ ปวดๆ ไม่ค่อยบวมเท่าไหร่ แต่ยังลงน้ำหนักเดินได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นระดับเบาสุด เอ็นข้อเท้าแค่ถูกยืดออก ไม่ฉีกขาด ไม่น่ากลัวเท่าไหร่

ระดับสอง คือ ปวดๆ บวมอยู่บ้าง พอลงน้ำหนักได้บางส่วน แต่ไม่เต็มที่ อันนี้เป็นการฉีกขาดของเอ็นบางส่วน หนักขึ้นมาเล็กน้อย

ระดับสาม คือ ปวดมาก บวมมาก ลงน้ำหนักไม่ได้เลย อาจรู้สึกข้อหลวมๆเล็กน้อย ถึงขั้นนี้แล้วเอ็นข้อเท้าบาดเจ็บมาก อาจถึงกับฉีกทั้งหมด และควรได้รับการเอ็กซเรย์ข้อเท้าที่โรงพยาบาล เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้กระดูกหักร่วมด้วย

ส่วนเรื่องกระดูกหักนั้น ถ้าเป็นถึงระดับสาม ก็ควรไปเอ็กซเรย์ แต่ถ้าเป็นแค่ระดับหนึ่ง และสอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีกระดูกหัก ยกเว้นแต่ว่าเป็นการบาดเจ็บอย่างอื่่นร่วมด้วย เช่นมอเตอร์ไซค์ล้ม ข้อเท้าพลิกแล้วก็โดนรถมอเตอร์ไซค์ทับด้วย อันนี้อาจจะมีส่วนอื่นที่หักร่วมด้วยค่ะ

 ข้อเท้าพลิกม ข้อเท้าแพลง,เท้าพลิก,กระดูกหัก, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
การรักษาหล่ะ
บอกให้สบายใจก่อนว่า ส่วนใหญ่ไม่ค่อยต้องถึงกับผ่าตัดเท่าไหร่ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับสาม แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง

การปฏิบัติตัวพื้นฐาน ที่ไม่ว่าเป็นระดับไหนก็ต้องทำคือ "หยุดพัก" หลายคนไม่ยอมหยุดพัก (ปวดซะขนาดนั้น อึดจริงๆ) ด้วยภาระงาน หรือว่าการเรียน อันนี้ต้องบอกไว้เลยนะคะ ถ้าไม่หยุดมันก็ยากที่จะหายจริงๆ เอาสุขภาพไว้ก่อนดีกว่านะคะ นอกจากนั้นก็ควรประคบเย็น 24 ชั่วโมงแรก และนอนยกขาสูง เพื่อลดการบวม

สำหรับระดับหนึ่งและสอง ควรพันผ้ายืดไว้ (Elastic bandage) หลายคนคงเคยเห็นที่เป็นสีเนื้อๆหน่ะค่ะ จะช่วยยึดข้อให้สบายขึ้น และลดอาการบวม กินยาแก้ปวดได้ถ้าปวดมาก ทำแค่นี้ก็พอค่ะ แล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นเอง แต่ที่สำคัญต้อง"พัก"นะคะ

สำหรับระดับสาม นอกจาก พัก ประคบเย็น และยกขาสูงแล้ว อาจจะต้องใส่เฝือกหลังจากที่ยุบบวมลงแล้ว และกินยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เอ็นข้อเท้าที่ฉีกจะติดได้เองค่ะ

ส่วนกรณีที่ต้องผ่าตัด ก็ได้แก่ นักกีฬาที่จำเป็นต้องใช้ขาอยู่ตลอด หรือบางคนที่หายแล้วข้อหลวมจนทำให้เดินลำบาก หรือคนที่่ต้องผ่าตัดเพราะกระดูกหักจนไม่สามารถรักษาด้วยการใส่เฝือกอย่างเดียวได้ แต่ถ้าเราคนทำงานทั่วไป ไม่ได้ต้องใช้ขาไปวิ่ง หรือเล่นกีฬาอะไรมากมาย ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรอกค่ะ

นานแค่ไหนกว่าจะหาย
ถ้าเป็นแค่ระดับหนึ่งหรือสอง ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นระดับสามอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ หรือประมาณหนึ่งเดือนเลยทีเดียว ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการหายคือ เมื่ออาการปวดดีขึ้นบ้าง ควรขยับข้อเข่า ข้อนิ้วเท้า รวมไปถึงข้อเท้าบ้าง โดยขยับช้าๆที่ละน้อยเพื่อดูว่าเราขยับได้แค่ไหน เพื่อป้องกันข้อยึดจากการไม่ขยับเป็นเวลานานค่ะ

ระมัดระวังป้องกันอุบัติเหตุ มีสติก่อนสตาร์ทนะคะทุกท่าน


วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

ผมจะเป็นต่อมลูกหมากโตมั๊ย??

"ผมจะเป็นต่อมลูกหมากโตมั๊ย" คำถามนี้ขอตอบเลยละกันนะคะ "เป็นค่ะ ถ้าคุณอายุมากพอ" (เฉพาะคุณผู้ชายนะคะ คุณผู้หญิงไม่เกี่ยวค่ะ) มีการศึกษาทางฝรั่งเขา พบว่า 50% ของผู้ชายอายุ 60 ปี เป็นต่อมลูกหมากโต และ เมื่ออายุถึง 85 ปี มีคนที่เป็นถึง 90% เลยทีเดียว ส่วนที่เหลือคาดว่าน่าจะมี เพียงแต่ยังไม่ออกอาการ แล้วโรคนี้เป็นยังไง ต้องทำอะไรบ้าง ลองอ่านดูค่ะ

ต่อมลูกหมากคืออะไรฮะ
ต่อมลูกหมากเป็นต่อมๆหนึ่งที่อยู่ในท้องน้อยของผู้ชาย โดยที่ท่อทางเดินปัสสาวะของผู้ชายจะวิ่งทะลุต่อมๆนี้ไป เวลาที่ต่อมนี้โตขึ้นจึงสามารถเบียดท่อทางเดินปัสสาวะให้ตีบแคบลงได้ค่ะ

แล้วทำไมมันถึงโตหล่ะ
เชื่อกันว่าเกิดจากการความชราทำให้เกิดเจริญเติบโตของต่อมลูกหมากผิดปกติ ไม่ได้ถึงกับเป็นเนื้องอก หรือมะเร็งอะไรนะคะ แต่มันแค่โตขึ้นเฉยๆ ยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเกิดจากอะไรแต่พบว่าผู้ชายเกือบทุกคนจะเป็น เพียงแต่ใครจะเป็นก่อนใครเท่านั้นเอง

จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นโรคนี้
อาการส่วนใหญ่ของโรคนี้จะเกิดจากการที่ต่อมลูกหมากโตจนทำให้ทางเดินปัสสาวะตีบแคบลง อาการที่เป็นส่วนใหญ่จะเกิดจากทางเดินปัสสาวะตีบนี่แหละคะ ได้แก่ ปัสสาวะไม่พุ่ง รู้สึกว่าเวลาปัสสาวะต้องเบ่ง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อย (จะบ่อยไม่บ่อยให้สังเกตตอนกลางคืนค่ะ คนปกติจะลุกมาปัสสาวะกลางคืนไม่เกิน 1-2 ครั้ง ถ้าเกินกว่านั้นก็ถือว่าบ่อย) เพราะว่าแต่ละครั้งออกไม่มาก ออกไม่หมด จึงมีปัสสาวะค้างอยู่ตลอด  ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย และการที่มีปัสสาวะค้างก็จะทำให้มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะตามมาได้

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ชาย ถือว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา คือผู้ชายธรรมดาเขาไม่เป็นกัน แสดงว่าอาจจะมีโรคอื่นแอบแฝง อย่างโรคต่อมลูกหมากโตก็เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดเลยทีเดียว เวลาติดเชื้อทางเดินปัสสาวะก็จะมีอาการเช่น ปวดท้องน้อยเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะที่ว่าบ่อยแล้วก็ยิ่งเป็นบ่อยขึ้นอีก บางทีทุกครึ่งชั่วโมง ทุก 10 นาทีก็มี และถ้าเป็นรุนแรงอาจมีไข้ ปวดบั้นเอวได้

ถ้าคุณผู้ชายมีอาการที่ว่ามานี้ก็ควรไปพบแพทย์ ซึ่งก็จะได้รับการซักประวัติตรวจร่างกายเพิ่มเติมซึ่งอาจรวมถึงการตรวจทางทวารหนัก!! แฮะๆ หลายท่านได้อ่านอย่างนี้ก็เลยไม่ยอมไปตรวจ (แต่หมอก็คงต้องขอบอกความจริงไว้ตรงนี้นะคะ อุตสาห์บอกแล้ว ก็ไปตรวจเถอะค่ะ) เพื่อให้มั่นใจว่าอาการที่ว่านี้มีสาเหตุมาจากต่อมลูกหมากจริงๆ หมอก็ต้องขอตรวจหน่อยนะคะ และควรจะได้ตรวจเลือดด้วย(เป็นค่าที่เรียกว่า PSA) เพราะโรคหนึ่งที่เรากลัวคือ ต่อมลูกหมากที่โตไม่ใช่ต่อมลูกหมากธรรมดา แต่ว่าเป็นมะเร็ง!!! ผลเลือดจะบอกได้ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ค่ะ

รักษายังไง
ถ้ามีการติดเชื้อก็ควรรักษาการติดเชื้อให้หายไปพร้อมกันด้วยการกินยาฆ่าเชื้อ หรือฉีดยาฆ่าเชื้อถ้ามีอาการของการติดเชื้อรุนแรงค่ะ

ส่วนเรื่องโรคต่อมลูกหมากส่วนใหญ่เราจะเริ่มจากการกินยาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตอบสนองต่อยาดี กินยาโรคต่อมลูกหมากแล้วก็จะปัสสาวะคล่องขึ้น อาการปัสสาวะบ่อยเป็นน้อยลง แต่บางรายที่การตอบสนองไม่ดี ได้ยากินจนเต็มที่แล้ว แต่อาการยังเป็นมาก ยังมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบ่อยๆ หรือบาวคนอาจถึงกับปัสสาวะไม่ออก สุดท้ายอาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

การผ่าตัดเดี๋ยวนี้ก็มีการผ่าตัดโดยการส่องกล้องเข้าทางท่อปัสสาวะ ฟังดูน่าหวาดเสียว แต่ว่าใช้เวลาพักฟื้นน้อย และได้ผลดีค่ะ

สิ่งหนึ่งที่ต้องทำถ้าเกิดว่าเป็นโรคต่อมลูกหมากโตแล้ว คือต้องเฝ้าระวังโรคมะเร็งต่อมลูกหมากค่ะ โดยการตรวจทางทวารหนัก และตรวจเลือด PSA ทุกปีค่ะ

อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกๆคน

ต่อมลูกหมากโต, ปัสสาวะไม่ออก, diary doctor is me , สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

ไส้เลื่อนเป็นยังไงกัน

"เต้นจนเป็นไส้เลื่อน" "กระโดดจนเป็นไส้เลื่อน" สมัยเด็กๆได้ยินประโยคเหล่านี้อยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคนอื่นเคยได้ยินกันมั๊ย แต่ว่าเป็นประโยคขำๆเบาๆของเพื่อนผู้ชาย เราเป็นผู้หญิงก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าคืออะไร จนกระทั่งมาเรียนหมอ เอ....ตกลงแล้วไส้เลื่อนเป็นยังไงกันแน่นะ วันนี้ขอมาเล่าเรื่องนี้ละกันค่ะ

อะไรคือไส้เลื่อน แล้วเกิดขึ้นได้ยังไง
ตรงตามชื่อเลยค่ะ ไส้เลื่อน ก็คือไส้มันเลื่อน (ดูจะกำปั้นทุบดินไปหน่อย) เลื่อนไปไหน?? เรื่องราวมีอยู่ว่า ปกติลำไส้ของเราก็อยู่ในท้องของเรา บางคนมีความดันในช่องท้องสูง ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุเช่น ไอเรื้อรัง ไอบ่อย ท้องผูกเรื้อรังต้องเบ่งบ่อยๆ เป็นต้น ทีนี้ลองนึกถึงหนังไททานิก เวลาที่เรือจมน้ำกำลังเข้ามาในห้อง น้ำจะเข้าที่ไหนก่อนค่ะ คำตอบคือ "กระจกหน้าต่าง" กระจกหน้าต่างแตกออกแล้วน้ำก็ทะลักเข้ามา ที่เป็นอย่างงั้นเพราะตลอดกำแพงของห้อง จุดที่อ่อนแอที่สุดคือกระจกนั่นเอง กรณีนี้เหมือนกันเวลาที่เรามีาความดันในช่องท้องมากๆ ลำไส้ที่อัดอยู่ในท้องเราก็ทะลักออกมาจากช่องท้อง ในบริเวณที่ผนังหน้าท้องอ่อนแอที่สุด ซึ่งในผู้ชายบริเวณนั้นคือ "ขาหนีบ"!!!  ไม่ใช่หลุดออกมาข้างนอกนะคะ แต่หลุดมาอยู่ในผนังอีกชั้นที่อ่อนแอกว่าที่ขาหนีบ ซึ่งในบางรายก็เป็นถุงยื่นๆออกมาตรงขาหนีบ แต่บางคนก็หลุดมาที่ "ถุงอัณฑะ"
ไส้เลื่อน, ก้อนขาหนีบ, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

โอเค สรุปง่ายๆ ไส้เลื่อนก็คือลำไส้ของเรา ที่หลุดออกมาเกิดเป็นก้อนๆที่ขาหนีบนั่นเอง

แล้วไส้เลื่อนเป็นยังไง
ก็อย่างที่ได้เล่าไป ไส้เลื่อนพบมากในผู้ชาย พบในผู้หญิงน้อยกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ไส้เลื่อนมีลักษณะเป็นก้อน ยื่นออกมาที่ขาหนีบ จับๆดูจะเหมือนเป็นเนื้อของเราที่ย้อยออกมา และเป็นถุงๆด้านใน หรือบางคนก็ยื่นออกมาลงไปในถุงอัณฑะ ช่วงแรกๆจะเป็นก้อนที่ยุบเอง โป่งเอง โดยที่ถ้ายืนจะโป่งออก แต่ถ้านอนลงจะยุบเข้าไป เวลาที่ยื่นออกมาบางครั้งก็สามารถดันกลับเข้าไปได้

ความจริงไส้เลื่อนแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 แบบคือ
แบบแรก ยุบกลับเข้าไปได้เอง อาจต้องใช้มือดันแต่ก็ยังยุบกลับได้
แบบที่สอง ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ แต่ไม่มีอาการอื่นๆ
แบบที่สาม ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้ และยังมีอาการของ "ลำไส้อุดตัน" หรือ "ลำไส้ขาดเลือด" ด้วย อันนี้ลองนึกถึง เวลาใส่แหวนแล้วเอานิ้วออกไม่ได้ ถ้านิ้วมันยังอยู่ได้สบายดีก็เป็นแบบที่สอง แต่ถ้าแหวนมันรัดจนนิ้วม่วง นิ้วชาไปหมดอันนี้ก็เป็นแบบที่สาม ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วน ต้องรีบผ่าตัด!!!

ขอเสริมซักเล็กน้อยเกี่ยวกับลำไส้อุดตัน อาการก็คือ ไม่ถ่าย ไม่ผายลม ปวดท้องใต้สะดือ ปวดแบบบีบๆ เป็นพักๆ ปวดเหมือนมีคนมาปิดลำไส้ และที่บริเวณไส้เลื่อนอาจปวดมากด้วยเช่นกัน ส่วนลำไส้ขาดเลือดก็เป็นอาการปวดท้องมากเช่นกัน มีไข้ และอาจถึงขึ้นความดันเลือดต่ำ ช็อคได้ทีเดียว

ถ้าเป็นไส้เลื่อนต้องทำยังไง
คำตอบมีคำตอบเดียวค่ะ "ผ่าตัด" เป็นโรคที่ต้องผ่าตัด "ทุกราย" จริงๆ เนื่องจากว่าเราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดการรัดจนลำไส้อุดตันเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงต้องผ่าตัดทุกราย แต่ความรีบก็ขึ้นกับอาการของคนไข้ ถ้าเป็นแค่แบบแรก หรือแบบที่สอง ก็นัดมาผ่าตัด ไม่ต้องรีบมากนัก (แต่ก็ควรเร็วที่สุด)

 แต่ถ้าเป็นแบบที่สามหมอจะลองให้ยาแก้ปวด และดันกลับดู ถ้าดันได้ ก็จะรอให้ยุบบวมประมาณ 2 วันแล้วมาผ่าตัด แต่ถ้าดันกลับไม่ได้คงต้องเข้าห้องผ่าตัดทันที

การผ่าตัดที่ว่านี้ก็เป็นการผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมผนังหน้าท้องที่อ่อนแอให้ปิดแน่น ป้องกันไม่ให้ลำไส้ไหลออกมาอีกค่ะ

โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยง เช่นการท้องผูก อาการไอเรื้อรัง หรือยกของหนักนะคะ

ขอให้ลำไส้อยู่กับร่องกับรอยค่ะ อิอิ


มีฝ้า กระ ทำไงดี


สาวๆ  และหนุ่มๆหลายคน อยากมีผิวเนียนเรียบเหมือนดาราเกาหลี แต่ถ้าภาษาประชดหน่อยเรียกว่าหน้าเนียนเป็น “ตุ๊ดเด็ก” (ขอโทษค่ะที่พูดไม่ค่อยจะสุภาพ) แต่บอกได้เลยถ้ามีใครมาบอกว่าเราผิวเนียนเหมือนเด็ก ทุกคนก็คงแก้มปริแต่หลายคนความฝันมลายหายไป เพราะฝ้ากระที่ขึ้นเอาๆ วันนี้มารู้จักฝ้ากระกันดีกว่าค่ะ
มาทำความรู้จัก “ฝ้า” และ “กระ” กันก่อนดีกว่า
ฝัากระ รักษา, กำจัดฝ้า กระ, สวยด้วยหมอ, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

ฝ้า และ กระ เป็นบริเวณที่ผิวมีสีออกทำแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากผิวบริเวณอื่นๆ ทั้งฝ้าและกระ เกิดขึ้นจากการที่ผิวของเราถูกแสงแดดและด้วยกรรมพันธุ์ของบางคน แสงแดดจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีมากขึ้น ที่ว่าตากแดดแล้วดำขึ้น ก็เพราะร่างกายพยายามสร้างเกราะป้องกันแสงแดดให้ตัวเองนี่แหละค่ะก็เลยผิวดำขึ้น และบางคนก็มีฝ้า และกระขึ้นซึ่งความจริงแล้วเม็ดสีเหล่านี้จะป้องกันผิวของเราจากการทำลายของแสงแดด ไม่ให้ไปทำลายเซลล์ผิวของเราป้องกันเราจากโรคมะเร็งผิวหนัง ความจริงแล้วผิวสีน้ำผึ้งคนไทยเนี๊ยเหมาะกับเมืองไทยที่มีแดดเยอะๆมากค่ะ แต่บังเอิญว่าเราไม่นิยมกัน

ฝ้ากับกระ ต่างกันยังไง
ฝ้าจะมีลักษณะเป็นปื้นของผิวสีเข้มๆช่วงที่ยังเป็นไม่มากอาจไม่ได้สังเกตเห็น เพราะยังไม่เห็นความต่างของผิวมากนักแต่พอสีของฝ้าเข็มขึ้นๆก็จะเห็นว่าเป็นบริเวณกว้างๆบนใบหน้าที่มีสีเข้มกว่าที่อื่นส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่เป็นโหนกของใบหน้าเพราะว่ามันจะยื่นออกมารับแสงก่อนบริเวณอื่นๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก ดั้งจมูกปลายจมูก
ส่วนกระ จะเป็นจุดๆ หรือที่เรียกกันว่า “ตกกระ”เหมือนบนหน้าเด็กฝรั่งหน่ะค่ะ คนไทยก็มีบางส่วนที่เป็น  กระแบบเด็กฝรั่งเรียกว่า “กระแดด” (ไม่ใช่ “แดะ”นะคะ อย่าออกเสียผิด) เป็นกระที่ไม่นูน ส่วนกระอีกแบบจะนูนขึ้น คล้ายๆไฝ แต่ว่าเป็นมากบริเวณที่โดนแดดเยอะเช่น ใบหน้า หน้าอก แขน อันนี้จะเป็นเนื้อนูนๆขึ้นมาสีดำๆ หรือสีน้ำตาลเข้มเรียกว่า “กระเนื้อ”ค่ะ

อยากกำจัดฝ้า และกระ ต้องทำไง
                ก่อนอื่นต้องเตือนทุกท่านไว้ก่อนว่าฝ้า และกระ เป็นสิ่งที่กำจัดค่อนข้างยาก ใช้เวลานาน และถึงกำจัดไปแล้วก็มีโอกาสเป็นขึ้นมาอีกเมื่อโดนแดดกระตุ้น เพราะคนที่เป็นฝ้ากระมักมีการตอบสนองของผิวต่อแสงแดดไวกว่าคนอื่น มีฝ้า มีกระขึ้นได้ง่ายตลอดดังนั้นบางครั้งเมื่อตัดสินใจที่จะกำจัดฝ้ากระแม้จะต้องจ่ายเงินซื้อเทคโนโลยีที่แพงที่สุด แต่ก็อาจไม่ได้ผล(เฮ่อ....น่าเศร้าใจจริงๆค่ะ)
                อันดับหนึ่งเลยคือการป้องกันไม่ให้ฝ้ากระขึ้นเพิ่ม หรืออย่างน้อยก็ให้ขึ้นน้อยลง แน่นอนฝ้ากระไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่โดนแดดค่ะ พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ และใช้ครีมกันแดด SPFอย่างน้อย15 ขึ้นไป ถ้าจำเป็นต้องออกแดด มีเครื่องป้องกันอย่างร่มหรือหมวกปีกกว้าง ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกัน 

                การรักษาที่นิยมมากคือการใช้ยาทาทาเช้า ทาเย็น  มีมากมายตามท้องตลาดซึ่งส่วนใหญ่ก็จะผสมๆกันระหว่างยาหลายๆตัว ตัวอย่างยาก็มีดังนี้นะคะ

-Hydroquinone ยาตัวนี้ทำให้ระคายเคืองผิวได้มาก และค่อนข้างอันตรายควรใช้ในความดูแลของแพทย์นะคะ

-Tretinoin อันนี้หลายคนคุ้นเคยในฐานะยารักษาสิวความจริงก็รักษาฝ้าได้ แต่ว่าใช้เวลานาน อย่างน้อยๆก็ 6 เดือนถึงจะเห็นผลเลยนะคะ

-Azelaic acid อันนี้ก็ได้ผลดี แต่ต้องใช้เวลานานเหมือนกันค่ะ

-Whitening  agentเช่น arbutin, licorice, mulberry extract, vitamin c (คิดว่าหลายคนคุ้นชื่อเหล่านี้จากโฆษณาโลชั่นทางทีวี จริงมั๊ยค่ะ) สารเหล่านี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด เรื่องประสิทธิภาพการรักษาฝ้าแต่ส่วนใหญ่ก็ใช้กัน และได้ผล แต่ต้องใช้นานหน่อยข้อดีของสารเหล่านี้คือปลอดภัยค่ะ

การรักษาต่อมาก็คือเหล่า treatment ตามคลินิกผิวหนังและความงาม เช่น Ionto, Phono, Magnito ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคที่ช่วยผลักยาเข้าสู่ผิวผลการรักษาก็ยังไม่ค่อยแน่ชัดนะคะ แต่ก็พบว่าช่วยให้ฝ้ากระหายเร็วขึ้นแต่ก็ต้องรักษาร่วมกับการใช้ยาทาไปด้วยค่ะ

 อันสุดท้ายที่ฮิตและราคาแพง คือเลเซอร์ค่ะ เลเซอร์ช่วยกำจัดเม็ดสีได้ส่วนใหญ่กับกระจะได้ผลดีกว่าฝ้า แต่เลเซอร์มีโอกาสทำให้เกิดผิวสีเข้มขึ้นกว่าเดิมหรือเป็นสีอ่อนกว่าผิวปกติได้ เป็นผลข้างเคียงของการรักษาที่เกิดขึ้นได้ค่ะและข้อเสียอีกข้อของเลเซอร์คือ ราคาแพง และต้องทำหลายครั้งค่ะ ถึงจะเห็นผลแต่อย่างที่บอก ไม่การันตีนะคะ ว่าจะเป็นซ้ำอีกถ้าไปถูกแดดมากๆ  เอาเป็นว่าใครมีกำลังทรัพย์อย่างลองก็ไม่มีปัญหาค่ะ ลองปรึกษาแพทย์ผิวหนังดูนะคะ

วันนี้ขอจบเรื่องความงามเพียงเท่านี้ขอให้ทุกคนดูดีจากภายในค่ะ


ออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก ต้องรู้

ทุกวันนี้เรานิยมสาวเอวบางร่างน้อย และผู้ชายที่มีหน้าท้องเป็นกล้าม Six pack กัน ความอ้วนจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพยายามกำจัด ความจริงอันนี้ก็เป็นค่านิยมที่ข้อดีอยู่เหมือนกัน เพราะความอ้วนเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆนานา การลดน้ำหนักที่ได้ผล แน่นอนก็ต้องอาศัยการออกกำลังกายด้วย หลายคนออกกำลังกายจนท้อ แต่น้ำหนักก็ไม่เห็นลดซักที ความจริงการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักเนี๊ย ก็ใช่ว่าจะทำแบบไหนก็ได้นะคะ มาดูกันว่าควรทำยังไง

เบาบ้างหนักบ้างถึงจะดี
ถ้าเราเลือกการออกกำลังกายที่ไม่ใช่"เกม" อย่างเช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดิน แน่นอนการยิ่งออกกำลังหนักๆ ยิ่งสามารถกำจัดชั้นไขมันได้มากขึ้น แต่การทำแบบนั้นนอกจากจะอาศัยความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ออกกำลังแล้ว ยังรวมไปถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจ ที่ต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อตามแขนขาของเราให้พอด้วย

ดังนั้นสิ่งที่เหมาะสมคือการออกกำลังแบบหนักประมาณ ครึ่ง-1 นาที แล้วตามด้วยช่วงที่ผ่อนลง 2-3 นาที เช่น  ถ้าวิ่งก็เริ่มด้วยการวิ่งเร็วตามกำลังที่เราทำได้ แบบทำได้เรื่อยๆ ซัก 2-3 นาที หลังจากนั้นก็เร่งความเร็วให้มากขึ้นแบบสุดๆ ซัก 1 นาที แล้วกลับมาวิ่งที่ความเร็วเท่าเดิม แล้วค่อยเร่งใหม่ สลับกันไปมาแบบนี้ นอกจากจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าแบบวิ่งเรื่อยๆ ด้วยความเร็วคงที่แล้ว ยังเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย และก็เป็นวิธีที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป
การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก,


ระยะเวลาทั้งหมดที่ออกก็เป็นสิ่งสำคัญ
ร่างกายของเรามีลำดับการดึงพลังงานมาใช้ ช่วงแรกของการออกกำลังกาย ประมาณ 5-10 นาทีจะเป็นการดึงพลังงานจากน้ำตาลในเลือด และคาร์โบไฮเดรตในกล้ามเนื้อมาใช้ หลังจากใช้ทั้งสองอย่างนี้หมดแล้ว จึงจะเริ่มดึงเอาไขมันมาใช้ ดังนั้นถ้าเราออกกำลังกายวันละ 10 นาที แม้จะหนักมากจนหอบแฮกหายใจไม่ทัน แต่ก็อาจเป็นเพียงการเผาผลาญอาหารที่กินในวันนั้น แต่ไขมันที่สะสมอยู่อาจไม่ขยับเลยก็ได้ ดังนั้นก็ควรออกกำลังกายติดต่อกันอย่างน้อยๆ ครึ่งชั่วโมง เพื่อเผาผลาญไขมันที่พุงออกไปนะคะ

ลดเฉพาะส่วนได้จริงหรือ??
การออกกำลังเพื่อลดเฉพาะส่วนนั้น ความจริงแล้วก็เป็นเพียงทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งแรงมากขึ้น กระชับขึ้น อาจจะลดส่วนนั้นได้มากกว่าส่วนอื่นอยู่บ้าง แต่ว่าก็ไม่มาก ความจริงแล้วร่างกายของเราเลือกไม่ได้ว่าจะใช้ไขมันจากส่วนไหนก่อน ดังนั้นไม่ว่าคิดจะลดส่วนไหนก็คือการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารนั่นแหละค่ะ สัดส่วนต่างๆของร่างกายก็จะลดลงเองค่ะ

กล้ามเนื้อคือพระเอก
ส่วนของร่างกายที่เผาผลาญพลังงานออกไปเวลาเราออกกำลังกายก็คือกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อเป็นตัวใช้พลังงานของร่างกาย ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่รู้คือ การเพิ่มกล้ามเนื้อให้ร่างกาย จะเป็นการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานแม้เราเวลาที่เรา "ไม่ได้ออกกำลังกาย" ดังนั้นนอกจากการวิ่ง ขี่จักรยาน เล่นบาส ตีเทนนิส ฯลฯ ที่เราทำอยู่แล้ว เราควรให้ความสำคัญกับการ "เล่นกล้าม" ด้วย ไม่ได้จะชวนสาวๆมาเพาะกล้ามหรอกนะคะ แค่เล่นกล้ามให้กล้ามเนื้อของเราแข็งแรง และช่วยเผาผลาญพลังงานเท่านั้น ต่อไปกินอะไรก็จะไม่อ้วนง่ายค่ะ

การเล่นกล้ามที่ว่านี้ ได้แก่ การยกน้ำหนัก (สาวๆก็ยกแค่ 2-3 กิโลก็พอค่ะ) sit-up, เล่นโยคะ, นั่งเก้าอี้อากาศ(ออกกำลังกล้ามเนื้อขา) เป็นต้น ส่วนหนุ่มๆจะเล่นกล้ามจริงจังไปเลยก็ได้ค่ะ

คิดจะออกกำลังกายลดน้ำหนัก ก็ต้องออกให้ถูกวิธีนะคะ ขอให้มีหุ่น Fit and firm กันทุกคนค่ะ

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

เมื่อรู้ว่าเราเหลือเวลาไม่มาก

หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The last lecture เขียนโดย Randy Pausch บางท่านคงจะเคยอ่าน เป็นหนังสือที่บันทึกการสอนครั้งสุดท้ายของศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่เขารู้ว่าเขากำลังจะตายจากโรคมะเร็งตับอ่อน ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าเราเป็นภรรยาของเขา เราจะเป็นยังไง และก่อนที่เขาจะจากไป เราจะทำอะไรบ้าง (ช่วงนี้ Drama หน่อยนะคะท่านผู้อ่าน เนื่องจากพอเริ่มเรื่องเกี่ยวกับการบอกข่าวร้ายแล้ว ก็เริ่มอยากเขียนแง่มุมนี้ที่หมอได้รู้ได้เห็นมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกัน)
 เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะจากไป, ผู้ป่วยระยะสุดท้าย, palliative care, diary doctor is me,

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแทบทุกวันในโรงพยาบาล มีหลายครั้งที่หมอต้องบอกผู้ป่วย และญาติให้เตรียมตัวเตรียมใจกับเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นไปได้ บางครั้งตอนนั้นผู้ป่วยก็ไม่รู้สึกตัวแล้วด้วยซ้ำไป แต่มีบางกลุ่มที่ยังคงรู้สึกตัวอยู่ สามารถพูดคุยได้ แต่ก็อ่อนกำลังเหลือเกิน ในเหตุการณ์แบบนี้ มีหลายสิ่งที่ต้องทำ

ยอมรับกับข่าวร้าย
แม้ว่าหมอและพยาบาลจะแทบกลั้นใจทุกครั้งที่จะต้องบอกความจริงกับผู้ป่วยและญาติ เรารู้ว่าทุกคำพูดของเราจะมีผลยังไง (และมันก็เป็นผลร้ายซะด้วย) แต่เราก็จำเป็นต้องบอก เพื่อให้ทุกคนเตรียมใจ คุณรู้มั๊ยปฏิกิริยาตอบกลับมีหลายแบบ ทั้งผู้ป่วยเอง และคนใกล้ชิดของผู้ป่วย ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่คนเราจะเป็นเช่นนั้น บางคน"ไม่อยากยอมรับความจริง" เขามักจะถามว่า คุณหมอ"แน่ใจ" กับการวินิจฉัยแค่ไหน หรือ คุณหมอคิดว่ามีทางรักษาอื่นอีกบ้างมั๊ย บางคนก็ถึงกับเอาคนไข้ไปโรงพยาบาลอื่น หวังอยู่ลึกๆว่าหมออีกท่านจะบอกว่าเราวินิจฉัยผิด หรือบางคนก็หันไปกินยาสมุนไพร เขาทางไสยศาสตร์เพื่อปัดเป่าโรคร้าย บางคนก็โกรธ โกรธในโชคชะตา โกรธพระเจ้า โกรธตัวเองที่ต้องมาเป็นนแบบนี้ ต้องเจออะไรแบบนี้ บางคนก็ร้องไห้ เสียใจ หมดอาลัยตายอยาก บางครั้งก็ถึงกับอยากฆ่าตัวตาย แต่ไม่ว่าปฏิกิริยาแต่ละคนจะเป็นอย่างไร เราทุกคนก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วทุกคนจะยอมรับได้ ยอมรับว่าแม้เราจะมีโรคร้าย พ่อแม่เราจะมีโรคร้าย แม้ความตายอาจจะมาเร็วกว่าที่คิด แต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไปอยู่ดี

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ
กำลังใจจากทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งญาติพี่น้อง เืพื่อนหรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จัก คนที่ต้องการกำลังใจก็ไม่ใช่แค่คนไข้เท่านั้น แต่พ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยา ลูกหลานทุกคนของคนไข้ต่างต้องการกำลังใจทั้งนั้น ความตายที่มาใกล้ มาเร็วกว่าที่คิด ความกลัวว่ากำลัีงจะต้องทุกข์ทรมานในระยะเวลาอันใกล้  ความกลัวว่าจะต้องลาจากจากคนที่รักไป ความกลัวที่ชีวิตกำลังจะเปลี่ยนแปลง กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกๆคนกล้าที่จะยืนหยัด กล้าที่จะเข้มแข็งและบอกว่าไม่เป็นไร กล้าที่จะทิ้งความกลัวในอนาคตไป และอยู่กับปัจจุบันที่ทุกคนยังอยู่พร้อมหน้ากัน และยังยิ้มให้กันได้อยู่ และกล้าที่จะเผชิญไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น และขอบคุณที่ยังคงมีวันนี้ที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้า

เขารู้สึกไร้ค่า
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ผู้ป่วยบางคนมักคิดว่า ตัวเองไร้ค่า และเป็นภาระให้กับคนอื่น เขาอาจจะเคยเป็นหัวหน้าครอบครัว หรือเป็นเสาหลักของบ้าน หรือเคยเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างในบ้าน แต่วันนี้ึคนอื่นต้องมาดูแลเขา คุณค่าชีวิตของเขาตลอดขีวิตที่ผ่านมาคือการ"ให้" แต่เมื่อวันนี้เขาต้องมา "รับ" มันเป็นสิ่งไม่เคยชิน ถ้าเราเป็นคนที่มารับหน้าที่ดูแลเขาตอนนี้ อย่าลืึมนึกถึงจุดนี้ บอกให้เขารู้ว่าแม้คุณจะเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง ลำบากขึ้นบ้าง แต่คุณก็เต็มใจ และดีใจที่ได้ทำให้เขา

เป้าหมาย
กลับมาที่เรื่อง The last lecture ความจริงแล้วมันเป็น Lecture ที่เป็นหนึ่งในความปรารถนาสุดท้ายของศาสตราจารย์ผู้นี้ อย่างที่หลายคนอาจเคยถูกถาม ถ้าคุณรู้ว่าเรามีชีวิตเหลืออีกแค่ 3 เดือน 6 เดือน คุณอยากทำอะไร นั่นแหละค่ะ ผู้ป่วยที่คุณดูแลอยู่ก็ไม่ต่างกัน เขามีความปรารถนาบางอย่างในชีวิต ลองให้เขาคิด อย่างน้อยช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็จะได้เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ สำหรับทั้งเขา และเรา

คิดล่วงหน้ากับหมอ และพยาบาล
อันนี้เป็นหน้าที่ที่หมอจำเป็นต้องคุย ล่วงหน้าเผื่อว่าวาระสุดท้ายมาถึง การแพทย์ของเราเจริญก้าวหน้ามาก เราพยายามต่อสู้ยื้อยุดกับมัจจุราชมาตลอด เพราะเราถูกสอนมาให้ทำแบบนั้น และแพทย์ก็พยายามคิดวิธีใหม่ๆ หาอาวุธใหม่ๆมาต่อสู้กับท่านมัจจุราชเสมอ แพ้บ้างชนะบ้างก็แล้วแต่ เวลาที่คนไข้จะสิ้นลมหายใจ เรามีแนวทางปฏิบัติ เพื่อดึงแย่งเขากลับมา (ขอใช้คำว่าแย่ง เพราะว่าแย่งจริงๆนะคะ) ไม่ว่าจะเป็นการใส่ท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจ ช็อกไฟฟ้า ให้ยากระตุ้นหัวใจ ทั้งหมดนี้เพื่อยื้อลมหายใจคนไข้ไว้ ไม่มีใครรู้ว่าการทำทั้งหมดนั้นลงบนตัวคนไข้ มันทรมานแค่ไหนสำหรับคนไข้ แต่เราก็รู้ว่าในบางรายที่เป็นโรคที่รักษาได้ (แน่นอนว่าไม่ใช่มะเร็ง หรือเอดส์) มันช่วยให้คนไข้ฟื้นคืน แต่สำหรับโรคที่รักษาไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่อายุมากจริงๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นคืนได้

ความจริงแล้วคนไข้ และญาติสามารถเลือกได้ ว่าเราจะยื้อสุดใจ หรือจะปล่อยให้เป็นไปแบบธรรมชาติของโรคอย่างสงบ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หมอ และพยาบาล ต้องวางแผนร่วมกับญาติ และแม้แต่คนไข้เองก็มีสิทธิเลือกว่าในลมหายใจสุดท้าย อยากให้หมอและพยาบาลพยายามดึงคุณกลับมา(แต่บอกไม่ได้ว่าจะกลับมามั๊ย) หรือว่าปล่อยคุณไปแบบสงบ

การแพทย์กับวาระสุดท้าย
ทางการแพทย์เรามีสิ่งที่เรียกว่า "การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือ Palliative care" จุดประสงค์เพื่อใ้ห้ผู้ป่วยสุขสบายที่สุดเท่าที่ทำได้ ประเด็นหลักคืออาการ"ปวด" โรคบางโรคในระยะสุดท้ายสร้างความปวดอย่างมาก สิ่งที่หมอทำได้คือการให้ยาระงับความปวด นั่นอาจหมายถึงยาแรงๆอย่าง มอร์ฟีน (ทุกคนคงรู้จักในนามของสิ่งเสพติด แต่สำหรับทางการแพทย์แล้วเป็นยาแก้ปวดชั้นเลิศเลยทีเดียว) หรือยานอนหลับเพื่อให้ผู้ป่วยสบายตัว การให้ออกซิเจน ฯลฯ ถ้าคุณเป็นญาติ หรือคนไข้ อย่างลังเลที่จะพูดคุยกับหมอและพยาบาล เล่าปัญหา และสิ่งที่คุณต้องการ เพราะหมอและพยาบาลทุกคนจะรับฟังเสมอค่ะ

วันนี้เป็นเรื่องเศร้าๆ แต่เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายคนนะคะ สวัสดีค่ะ

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ความดันต่ำ จะเป็นอะไรมั๊ย

เวลาไปพบแพทย์ ทุกคนจะได้รับการวัดความดัน แต่ละคนก็จะได้เลขต่างๆกันไป คิดว่าหลายคนคงไม่ได้ใส่ใจนัก ถ้าคุณพยาบาลบอกว่าปกติ คนส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า เขาว่าปกติก็ปกติ ไม่คิดมาก ประมาณนั้น แต่บางคนจะเจอปฏิกิริยาแปลกๆของคุณพยาบาล เช่น "ลองวัดซ้ำอีกทีละกัน" หรือถามว่า " เวียนหัว ปวดหัว หน้ามืดมั๊ย" "ทำไมความดันต่ำจัง" โดยเฉพาะผู้หญิง หรือผู้ชายตัวเล็กๆผอมๆเนี๊ย จะเจอได้บ่อยๆเลย คำถามคือ แล้วยังไงเหรอ วันนี้เราจะมาคลายตวามสงสัยของหลายคนเรื่องคามดันต่ำ
ความดันต่ำ, โรคภัยไข้เจ็บ, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

ความดันคนปกติ เท่าไหร่?
โดยปกติค่ากลางของความดันคือ 120/80 แต่จริงๆแล้วอยู่ในช่วง 90/60-140/80 เลขความดันของเรามี 2 ค่า เพราะว่าเวลาหัวใจบีบตัวจะความดันจะสูงขึ้น (เป็นเลขตัวแรก) แต่เมื่อหัวใจคลายตัวความดันจะต่ำลง (เป็นเลขตัวหลัง) ดังนันครั้งต่อไป ถ้ามีพยาบาลบอกว่าคุณความดีนสูง หรือความดันต่ำ อย่าลืมถามเขาว่าเท่าไหร่ และจำทั้งตัวสูง และต่ำนะคะ

ถ้าความดันต่ำจะเกิดอะไรขึ้น
ปกติค่าความดันเลือด แสดงถึงการสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย ถ้าคามดันที่ต่ำกว่าปกติ โดยทั่วไปแสดงถึงภาวะที่ร่างกายมีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่พอ เช่น คนไข้ผ่าตัดที่เสียเลือดมาก คนไข้อุบัติเหตุมีเลือดออกมาก คนไข้ที่ท้องเสียปริมาณมาก เสียน้ำไปมาก คนไข้ที่อยู่ในภาวะช็อคจากการติดเชื้อ หรือจากการทำงานของหัวใจผิดปกติ

ถ้าร่างกายของเรามีเลือดมาเลี้ยงไม่พอจะทำให้มีอาการหัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เพราะเมื่อเลือดมีน้อยลง หัวใจจึงพยายามสูบฉีดเลือดที่มีอยู่ให้วิ่งเร็วขึ้น เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย (เหมือนถ้าบริษัทลดพนักงาน คนที่เหลืออ่ก็ต้องทำงานเพิ่มขึ้น)มีอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลม หมดสติ เนื่องจากว่าสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ และสุดท้ายเมื่อหัวใจสู้ไม่ไหว ก็สามารถหยุดเต้นได้เลยทีเดียว

ภาวะความดันต่ำในผู้ป่วยจึงเป็นภาวะเร่งด่วนในทางการแพทย์ ต้องรับรักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาที่เร็วที่สุด

แล้วถ้าความดันต่ำแต่สบายดีหล่ะ??
ก่อนอื่นต้องดูให้ีก่อนว่าเทคนิคการวัดความดันถูกวิธีหรือไม่ส่วนใหญ่ความดันต่ำจะเกิดจากการพันที่รัดแขนแน่นเกินไป แต่ถ้าเทคนิคก็ถูกต้องดี้ว ก็จะมีคนบางกลุ่มที่ความดันต่ำกว่าความดันของคนทั่วๆไป ได้แก่ เด็ก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ความดันต่ำกว่าปกติ ก็ยังพบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนรูปร่างเล็ก ผอมๆ สบายดีทุกอย่าง แต่วัดความดันโลหิตทีไรก็ยังต่ำกว่าปกติเสมอ

ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลคือก็เป็นไปได้อยู่ ด้วยลักษณะรูปร่างและหลอดเลือดของเขา ทำให้ความดันโลหิตที่ต่ำๆก็เพียงพอต่อการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายแล้ว ดังนั้นถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่สบายดีมาตลอด แต่บังเอิญวัดความดันได้ต่ำกว่าปกติอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะร่างกายของเราปกติดี เวลาไปวัดความดันที่ไหน ถ้ามีคนทักว่าความดันต่ำ ก็อย่าลืมบอกเขาว่า ส่วนใหญ่วัดได้เท่าไหร่ เพืื่อให้ง่สยต่อการประเมิณของบุคลากรทางการแพทย์นะคะ

วันนี้สั้นๆ แต่หวังว่าจะทำให้หลายคนคลายกังวลนะคะ สวัสดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

กินหวานตลอด กลัวเป็นเบาหวาน

ทุกคนคงเคยได้ยินชื่อโรค"เบาหวาน"กันมาก่อนอย่างแน่นอน ส่วนจะรู้ว่าโรคเบาหวานเป็นยังไงก็คงแล้วแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน แตกต่างกันไป ความจริง เบา=ปัสสาวะ เบาหวานก็คือ ปัสสาวะหวาน??? 555 หลายคนคงร้องยี้ ต่อให้เอาไอโฟนมาแลกก็คงไม่ยอมชิม วันนี้จะมาเล่าเรื่องโรคปัสสาวะหวาน หรือ เบาหวานให้ฟังกันค่ะ

คำถามนำทุกครั้ง โรคเบาหวานเป็นยังไง??
โรคเบาหวานคือการที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ปกติแล้ว น้ำตาลในเลือดของเราควบคุมด้วยฮอร์โมนในร่างกาย ด้วยสาเหตุบางอย่างเมื่อเราอายุมากขึ้น อาหารการกิน และด้วยปัจจัยอีกมากมาย มีผลทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เหมือนเดิม

สาเหตุว่าทำไมถึงเกิดสิ่งเหล่านี้มีปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมพันธุ์ ถ้าเรามีญาติสายตรง(เบ่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย พี่น้องท้องเดียวกัน) เป็นเบาหวาน เราก็มีโอกาสจะเป็นสูง นอกจากนี้ก็เกี่ยยข้องกับอาหารที่กิน และการออกกำลังกายด้วย
เบาหวาน,กินหวาน, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

น้ำตาลในเลือดสูง แล้วยังไงเหรอ
การที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติตลอดเวลา จะมีผลทำให้การทำงานของหลอดเลือดเล็กๆเสียไป นำไปสู่โรคไต ปลายประสาทเสื่อม และจอประสาทตาเสีย

อย่างโรคไต การที่มีน้ำตาลในเลือดสูงตลอดจะทำให้การทำงานของไตลดลงเรื่อยๆ มีโปรตีนรั่วออกมาทางปัสสาวะ คนไข้จะไม่รู้ตัวเลยถ้าไม่ได้รับการตรวจปัสสาวะจนกระทั่งเริ่มมีอาการขาบวม เพราะไตขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ไตวายซะแล้ว (ขู่ซะน่ากลัวมาก แต่เรื่องจริงไม่อิงนิยายนะคะ)

โรคปลายประสาทเสื่อม บางคนอาจจะเคยได้ยินมาว่าเป็นเบาหวานแล้วทำให้แผลหายช้า ความจริงนอกจากจะหายช้าแล้วยังเป็นแผลง่าย เพราะปลายประสาทโดยเฉพาะที่เท้าถูกทำลาย จะชาตามปลายเท้า เมื่อรับรู้ความเจ็บปวดน้อยกว่าปกติก็จะเป็นแผลง่าย เพราะไปเหยียบอะไรก็ไม่ค่อยรู้ตัวนั่นเอง

ปัญหาต่อมาคือโรคตา เบาหวานทำให้เกิดเส้นเลือดผิดปกติที่จอรับภาพของตา ซึ่งถ้าเป็นมากๆก็จะบดบังจอรับภาพ(เหมือนไม้เลื้อยบนกำแพงหน่ะค่ะ เวลาไม่มีใครดูแล คอยตัดมันออก มันก็จะลุกลามปิดทั้งกำแพง จนไม่เห็นกำแพงเลย) สุดท้ายสามารถตาบอดได้ทีเดียว

ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่เป็นไปอย่างช้าๆ เราก็ไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัวซักเท่าไหร่นัก แต่โรคเบาหานร่วมกับโรคอื่นๆอย่าง ไขมันสูง ความดันสูง จะทำให้เรามีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันมากขึ้น นำไปสู่ภาวะหัวใจวาย และหยุดเต้นได้เลยทีเดียว

สรุปแล้ว ขู่ไว้เยอะมาก โรคเบาหวานถ้าเป็นควรรีบรักษานะคะ ปัญหาคือ การรักษารวมไปถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบองคนไข้ด้วย การวดกินอาหารรสหวาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานยาอย่างเคร่งครัด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของคนไข้ และญาติผู้ดูแลคนไข้ด้วย

แล้วเมื่อไหร่ถึงต้องไปตรวจ
คนทั่วๆไปควรตรวจค่าน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง เมื่อมีอายุเข้า 45 ปีขึ้นไป และถ้าปกติ ก็ควรตรวจเป็นประจำอย่างน้อยทุก 3 ปี แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ สงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน อาการได้แก่ น้ำหนักลดโดยที่ยังกินเท่าๆเดิม(ลดประมาณ 10% ของน้ำหนักเดิม ในเวลาประมาณ 3 เดือนนะคะ ถ้าแค่ 1-2 กิโลไม่นับ และถ้าตั้งใจลด ก็ไม่นับค่ะ) หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อยๆ และมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรไปตรวจค่ะ และถ้ามีญาติสายตรงในครอบครัวเป็นเบาหวานก็อาจจะต้องไปตรวจเร็วหน่อย หรือมีโรคประจำตัวเช่น ไขมันในโลหิตสูง ความดันสูง เคยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือเคยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน ก็ควรตรวจเป็นประจำค่ะ

ถ้าเป็นแล้วต้องทำยังไง?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เมื่อเป็นโรคเบาหวานแล้วเราก็คงต้องรักษากันไปตลอดชีวิตนะคะ ไม่มีทางจะหายขาดได้เลย การรักษาก็เริ่มจากการปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันก่อนเลยค่ะ ลดของหวาน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด อย่างมะม่วงสุก เงาะ องุ่น ทุเรียน มะขามหวาน ฯลฯ ออกกำลังกายให้มากขึ้น อ่านคำแนะนำการออกกำลังกายได้ที่ "ออกกำลังกายแค่ไหนถึงจะพอ" การปรับการใช้ชีวิตประจำวันสามารถลดปริมาณการใช้ยาได้ เช่นถ้าไม่ออกกำลังกายอาจจะต้องควบคุมด้วยยาฉีด แต่ถ้าได้ออกกำลังกายอาจจะเหลือแต่ยากิน เป็นต้น หรือถ้าเป็นน้อย แค่การปรับการกินอาหารและการออกกำลังกายก็อาจจะไม่ต้องใช้ยาเลยก็ได้ ส่วนเรื่องยานั้น ถ้าลองปรับการใช้ชีวิตปรัจำวันแล้วไม่ดีขึ้น ก็คงต้องเริ่มใช้ยา จากยากินก่อน หลังจากนั้นหมอจะนัดมาตรวจน้ำตาลในเลือดเรื่อยๆ เพื่อปรับยา ถ้ายากิน กินเยอะมากแล้วยังคุมไม่ได้ ก็อาจต้องคุมด้วยยาฉีด ซึ่งต้องฉีดทุกวันที่หน้าท้อง ( ทรมานน่าดู)

ทั้งหมดนี้อยากให้ทุกคนรู้จักโรคเบาหวานมากขึ้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติตัวได้ถูก และเพื่อสุขภาพที่ีดีของทุกคนค่ะ


keloid ฉันอยากให้เธอหายไป

สาวๆ หรือหนุ่มๆหลายคนอาจกำลังมีปัญหากับแผลเป็นนูนอยู่ อาจจะมีมาตั้งแต่เด็ก หรือเป็นแผลที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งจากการเย็บแผล ทั้งจากการเจาะหู หรือแผลอื่นๆต่างๆนานา ทุกคนคงจะเคยซื้อยาโน้นนี่มาทาแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เล็กลงซักที วันนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาแผลเป็นนูน หรือ keloid มาฝากค่ะ

Keloid เกิดจากอะไร
Keloid เป็นกระบวนการรักษาแผลของร่างกายที่มากเกินไป อย่างที่หลายคนรู้ keloid จะเกิดบริเวณที่เป็นแผล ไม่ว่าจะเป็นแผลเย็บจากการผ่าตัด แผลจากสิว หรือแผลจากอุบัติเหตุ ถึงแผลจะปิดแล้ว แต่กระบวนการสมานแผลของร่างกายไม่ยอมหยุด ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นนูนขึ้นมา ส่วนอะไรกระตุ้นให้เกิดกระบวนการนี้ ความจริงก็ไม่มีใครตอบได้แน่นอน เพราะว่าบางคนเกิดมาเย็บแผลก็ตั้งหลายครั้ง เจาะหูเรียงกันเป็นตับ แต่ก็ไม่เคยมีแผลเป็นนูน หรือ keloid ซักที แต่บางคนเป็นแผลนิดๆหน่อยๆ ก็ใหญ่ๆ เป็นkeloid หลายที่ไปหมด มีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้องกับ keloid ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ลักษณะผิวของแต่ละคน ตำแหน่งที่เป็นแผล ส่วนใหญ่แผล keloid มักจะเกิดที่ หน้าอก แผ่นหลัง หัวไหล่ ติ่งหู แต่คนที่เกิดแผล keloid ได้ง่ายก็อาจมีได้หลายที่ และมีแผลลึกทีไรก็จะเกิด สรุปว่าที่พร่ามมานาน ก็คือไม่รู้ เราไม่สามารถเดาได้เลยว่าใครจะมี หรือ ไม่มี keloid
สวยด้วยหมอ, แผลเป็นนูน, keloid, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

เราป้องกันได้มั๊ย
เอาแบบกำปั้นทุบดินละกันนะคะ วิธีป้องกันก็คือ อย่าทำให้ร่างกายเกิดแผลโดยไม่จำเป็น ยิ่งถ้าเราเป็นแผลเป็นนูนง่าย ยิ่งควรหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะการศัลยกรรมความงาม เพราะคุณอาจได้แผลเป็นนูนน่าเกลียดเป็นของแถม บอกได้เลยถ้าเป็นแล้วโอกาสจะได้ผิวเรียบๆเหมือนเดิม ค่อนข้างยาก

แล้ววิธีรักษาหล่ะ
ทายา
อันแรก มียาทามากมายตามท้องตลาดที่บอกว่ารักษาแผลเป็นนูน หรือ keloid ได้ ขอบอกตามตรงว่าสิ่งที่คาดหวังได้จากยาเหล่านี้คือ "ทำให้แผลเป็นนุ่มลงได้" (ขออภัยถ้าจะพาดพิงถึงผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อ) แต่มีความจริงที่ต้องบอกคือ ยานี้ช่วยให้แผลเป็นนุ่มลง แต่ไม่ได้เล็กลงมหรือจางไปนะคะ

ยาฉีด
ถ้าเกิดได้ไปปรึกษาแพทย์ที่คลินิกหรือ โรงพยาบาล ก็จะได้รับคำแนะนำให้ฉีดยา ยาที่ว่านี้เป็น steroid ฉีดเฉพาะบริเวณที่แผล ระดับความเจ็บก็พอสมควรอยู่ ฉีดประมาณเดือนละครั้ง ทำให้แผลเป็นนูนแบนลงได้จริงตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด แต่ลักษณะของแผลอาจจะยังแตกต่างจากผิวปกติรอบๆอยู่ ไม่สามารถทำให้เนียนเหมือนไม่เคยมีแผลได้ เชื่อกันว่าฉีดได้ประมาณ 4-5 ครั้ง ถ้าเกินไปกว่านั้นก็ไม่ได้อันตราย แต่แผลอาจไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก

Laser
การทำเลเซอร์แผลเป็นสามารถทำให้แผลแบนลงได้ และทำให้สีอ่อนลงได้ ระดับความเจ็บก็ไม่มาก แต่ต้องอาศัยการทำซ้ำๆหลายๆครั้ง และต้องมีกำลังทรัพย์นะคะ ทำครั้งหนึ่งก็อาจจะหลายพันแล้ว และยังต้องทำซ้ำเป็นสิบๆครั้ง อยากสวยก็คงต้องลงทุนกันหน่อยนะคะ บางคนก็ใช้วิธีฉีดยาให้แผลเป็นเล็กลงก่อน แล้วก็มาเลเซอร์ต่อให้สีจางลง ก็ประหยัดค้าใช้จ่ายได้ระดับหนึ่งเลยนะคะ

ผ่าตัดออกได้มั๊ย
อย่างที่ได้บอกไป keloid เกิดจากการเกิดแผล การผ่าตัดมีโอกาสทำให่แผลkeloid กลับขึ้นมาเป็นอีก แต่ในบางกรณีที่แผล keloid นูนขึ้นมาจนเป็นติ่งเนื้อ อย่างเช่นแผลจากการเจาะหู สาวๆบางต้องอายเพราะว่านอกจารูเจาะจะตันแล้ว ยังทิ้งแผลเป็นนูนออกมาเป็นติ่งเนื้อใหญ่ๆอีกด้วย อันนี้การตัดติ่งเนื้อออก น่ายะดี แต่อาจยังมีแผล keloid อยู่ดี แต่ไม่เป็นติ่งเนื้อ ส่วนใหญ่การผ่าตัดแผล keloid แพทย์จะฉีดยา steroid ที่ไว้ฉีด keloid หน่ะค่ะ ฉีดไว้ล่วงหน้าเลย เชื่อกันว่าช่วยป้องกันการเกิดkeloid ได้บางส่วน

ใครสนใจวิธีไหนก็ลองไปปรึกษาคุณหมอดูนะคะ เพื่อผิวเนียนค่ะ

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

หมอนรองกระดูกทับเส้นเป็นยังไง?

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นเป็นอีกหนึ่งโรคที่หลายคนคงเคยได้ยินมา และสิ่งที่ผู้คนขยาดมันก็เพราะได้ยินมาว่าการรักษา คือการผ่าตัด ทุกคนกลัวการผ่าตัด (ขนาดหมอเองก็ยังไม่อยา่กถูกผ่าตัดเลย) โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นคืออะไร เป็นยังไงกันแน่ วันนี้มีคำอธิบายค่ะ

หมอนรองกระดูกที่ว่านี้อยู่ที่กระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเราเป็นชิ้นๆมาเรียงต่อกัน เหมือนที่เห็นในโฆษณานมผสมแคลเซียมทั้งหลาย หรือเหมือนโีครงกระดูกไดโนเสาร์ในพิพิธภัณฑ์ ระหว่างกระดูกแต่ละชิ้นนั้นจะมี "หมอนรองกระดูก"อยู่ หน้าตาคล้ายๆเยลลี่หนึบๆมันช่วยไม่ให้กระดูกสันหลังของเราเสียดสีกันเวลาเราขยับ แล้วก็กระดูกสันหลังแต่ละชิ้นจะมีรูทะลุอยู่ เวลาเอามาต่อกันรูนี้จะตรงกัน เอาไว้เป็นท่อให้"เส้น" วิ่งผ่าน ส่วน"เส้น" นี้คือไขสันหลัง ไขสันหลังคือเหล่าบรรดาเส้นประสาทจากทั่วร่างกายที่มารวมกัน เพื่อเดินทางสู่สมอง เหมือนสายไฟที่ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ วิ่งไปสู่ปลั๊กไฟยังไงอย่างงั้น ไขสันหลังเนี๊ยวางอยู่ในท่อของกระดูกสันหลัง (หวังว่าที่เล่ามาจะพอนึกภาพออกนะคะ) 

herniated disc, หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท,diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

Source : mountainviewpaincenter.com

ทีนี้ปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นเกิดจากการที่เจ้าเยลลี่(หมายถึงหมอนรองกระดูก) ที่ปกติจะไม่มายุ่งกับท่อของกระดูกสันหลัง โดยมีเส้นเอ็นยึดไว้ วันดีคืนดีเส้นเอ็นนี้เกิดอ่อนแรง หรือฉีกขาด เจ้าเยลลี่ก็ปลิ้นออกมาทับสายไฟ(ไขสันหลัง)บางส่วน ไขสันหลังของเราไม่มีปลอกหุ้มเหมือนสายไฟนะคะ เป็นแบบลวดเปลือยๆ สายไฟที่โดนเยลลี่(หมอนรองกระดูก)ก็เกิดปัญหาทำงานไม่ได้ขึ้นมา สายไฟเส้นไหนมาจากส่วนไหนของร่างกาย ส่วนนั้นก็จะเกิดอาการเลยค่ะ เริ่มแรกเราก็จะรู้สึก ปวดๆ แปล็บๆ ไปตามเส้นประสาทที่ถูกกด ต่อมาก็อาจจะชา แล้วก็เริ่มอ่อนแรงไป เพราะเส้นประสาทเหล่านั้นทำหน้าที่สั่งงานกล้ามเนื้อด้วย ส่วนจะเป็นตรงไหนบ้างก็แล้วแต่ว่าเจ้าเยลลี่ที่ปริ้นออกมาอยู่ที่กระดูกสันหลังระดับไหนของร่างกาย

สรุปลักษณะอาการให้ฟังนะคะ
ส่วนใหญ่หมอนรองกระดูก (เยลลี่) ที่ปริ้นออกมามักเป็นบริเวณที่ขยับเยอะ ซึ่งมี 2 บริเวณคือ คอ กับเอว บางคนถ้าเป็นนิดเดียว ไม่ถึงกับทับเส้นก็จะไม่มีอาการ ส่วนถ้าทับเส้นขึ้นมาก็จะมีอาการนะคะ 

ถ้าเป็นที่เอวส่วนใหญ่จะบอกได้ว่าอาการเริ่มเกิดเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นการก้มๆเงยๆ บางคนจำได้เลยว่าเริ่มเป็นตั้งแต่ก้มลงยกของวันนั้นวันนี้ หลังจากนั้นก็มีอาการชาไปตามขาบางคนเป็นข้างเดียว บางคนเป็นสองข้าง โดยที่อาการชาจะชาไปตามขา"ด้านหลัง" ยาวตั้งแต่ต้นขาไปถึงข้อเท้าเลยทีเดียว (ส่วนใหญ่ถ้าถึงแค่เข่า หรือต้นขา จะเป็นอาการของโรคอื่นนะคะ) เป็นอาการชาๆ หรือเจ็บแปล๊บๆ นอกจากนี้อาจปวดเวลาเดินมากๆ หรือเดินลงเนิน นั่งลงหยุดพักแล้วอาการดีขึ้น ส่วนอาการปวดหลังอาจจะมี หรือไม่มีร่วมด้วยก็ได้ค่ะ

ส่วนถ้าเป็นที่คอ อาจจะมีอาการคล้ายๆกัน แต่เป็นกับแขน อาจเป็นข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ค่ะ 

ถ้ามีอาการทำยังไงดี??
ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็ก เพื่อดูว่ามีหมอนรองกระดูกทับเส้นจริงๆมั๊ยนะคะ

รักษายังไงบ้าง 
โดยปกติแล้วหมอนรองกระดูกที่ปริ้นออกมา จะสามารถหดตัวลงเองได้เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นตอนแรกก็ยังไม่ต้องผ่าตัดหรอกค่ะ คนไข้มีอาการดีขึ้นเองได้ในประมาณ 4-6 สัปดาห์ ช่วงแรกก็จะให้รับประทานยาแก้ปวด ร่วมกับกายภาพบำบัด จะมีการออกกำลังกายสำหรับหมอนรองกระดูกทับเส้น เพื่อลดอาการปวด และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆกระดูกสันหลัง ซึ่งจะช่วยโรคนี้ได้นะคะ ท่าออกกำลังกายก็จะคล้ายๆท่าโยคะ อย่างท่าไหว้พระอาทิตย์ ขอไม่เล่ารายละเอียดแล้วกันนะคะ เมื่อไปพบแพทย์ก็จะได้ไปพบนักกายภาพบำบัดที่จะแนะนำให้อีกทีค่ะ 

ส่วนการผ่าตัด ซึ่งคนไข้ส่วนน้อยที่จะมาถึงจุดนี้ โดยการผ่าตัดจะทำเมื่อการรักษาที่เล่ามาในช่วงแรกแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นเยอะมากจนถึงขั้นยืนไม่ได้เดินไม่ได้ อันนี้การกายภาพอย่างเดียวคงไม่สามารถช่วยให้อาการหายได้ จำเป็นต้องผ่าตัดนะคะ สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงไว้ หากจำเป็นต้องผ่าตัด คือควรทำให้เร็วที่สุด ถ้าเราเป็นมาก แสดงว่าเส้นประสาทถูกทับเยอะ และบางเส้นถึงกับทำงานไม่ได้แล้ว การผ่าตัดแค่ไปเอาหมอนรองกระดูกที่กดเส้นประสาทออก แต่ถ้าทิ้งไว้นานโอกาสที่เส้นประสาทที่ถูกทับจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมก็ยิ่งน้อยลงนะคะ ถ้าคุณหมอที่ไปพบแนะนำว่าต้องผ่าตัด และเรามีโรคประจำตัวไม่มาก ไม่ค่อยเสี่ยงต่อการผ่าตัด ก็อย่าปฏิเสธคุณหมอเลยค่ะ

จบเรื่องโรคหมอนรองกระดูก ขอให้ทุกท่านมีความสุขปราศจากโรคภัยนะคะ


ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โรคของนักเล่นคอมทั้งหลาย

เคยบ้างไหมที่มีคนรู้จัก หรือแม้แต่ตัวคุณเอง มีอาการปวดไหล่ ปวดคอ แบบชนิดที่เรื้อรัง เป็นๆหายๆ เมื่อยไปหมด บางครั้งก็ปวดหัว ชามือ ชาแขนไปด้วย เอายามานวดบ้าง ไปให้เขานวดบ้างก็ดีขึ้น แต่ไม่นานก็เป็นอีก นั่นแหละค่ะ Myofascial pain syndrome มาหาเราแล้ว

Myofascial pain syndrome หรือโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เป็นโรคทางกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง ความจริงก็ไม่ได้เกิดกับนักเล่นคอมเท่้านั้น เกิดได้กับทุกๆคน ทุกอาชีพ แต่พบมากในคนที่ต้องทำงานหน้าคอมนานๆ

ตกลงโรคนี้คือะไร
โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดนัดๆเกร็งเป็นเวลานาน นานแบบตลอดวันเลยทีเดียว อย่างเช่นถ้าเราต้องนั่งหน้าคอมนานในท่าที่ไม่ดี ต้องก้มมาก หลังค่อม กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ของเราต้องทำงานหนักเพื่อให้เรานั่งอยู่ในท่านั้นได้นานๆ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดวัน นานๆเข้ากล้ามเนื้อเหล่านั้นก็จะหดตัวเกร็ง ลองกดแล้วลูบๆดูแถวๆบ่า หรือคอ หรือสะบัก ก็จะพบกล้ามเนื้อเป็นลูกๆอยู่ข้างใต้ (แม้ไม่ได้เล่นกล้ามก็ตาม) กดลงไปก็จะเจ็บจี๊ดขึ้นมา ร้าวไปตามคอตามแขน อาจถึงหัวเลยทีเดียว

อาการแบบไหน ที่เรียกว่าเป็นโรคนี้
อาการคือปวดตามคอ ตามไหล่ หรือสะบัก  ปวดได้ตั้งแต่พอรำคาญๆ จนถึงปวดมาก บางคนร้าวไปหัว รู้สึกเหมือนปวดหัวตุ๊บๆอยู่ตลอดก็มี แต่จะไปเป็นถึงกับแขนอ่อนแรง หรือว่าชารับความรู้สึกไม่ได้นะคะ อาการจะเน้นไปที่ปวดเมื่อยมากกว่า ถ้าเคยไปนวดมาบ้างก็จะดีขึ้น แต่ซักพักก็จะเป็นใหม่อีกน่ารำคาญ แบบนี้แหละ ใช่เลย น่าจะเป็น โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง แต่ถ้ามีแขนอ่อนแรง (ไม่ใช่อ่อนแรงแบบยกของหนักๆ ทำงานหนักๆแล้วอ่อนแรงนะคะ อ่อนแรงแบบยกแขนขึ้นไม่ได้ หรือถือแก้วน้ำแล้วหล่น แบบเนี๊ยถึงจะเรียกว่าอ่อนแรงนะคะ) ถ้าถึงกับอ่อนแรง ชารับความรู้สึกไม่ได้ อาจจะต้องไปตรวจ เผื่อว่าเป็นโรคอื่นนะคะ

รักษายังไง
โรคนี้ความจริงก็ไม่ได้อันตราย ไม่ทำให้ตาย และไม่ถึงกับทุพพลภาพพิการแต่อย่างใด แค่น่ารำคาญ และอยู่ไม่ค่อยสุขสบายเท่าไหร่

หลายคนเริ่มต้นด้วยการกินยาแก้ปวด อย่างพาราเซตมอล หรือบางคนก็กินยาที่เรียกกันว่า "ยาคลายกล้ามเนื้อ" อย่าง Bufen, fenac,Naproxen อาการก็คงจะหายอยู่บ้างใช่มั๊ยค่ะ แต่เดี๋ยวก็กลับมาเป็นใหม่อีก อันนี้อยากกินกินได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้แนะนำ การกินยาอาจไม่ได้รักษาี่สาเหตุ แค่ช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ยิ่งยากินที่เรียกว่ายาคลายกล้ามเนื้อเนี๊ย ถึงจะแก้ปวดด้วยดี แต่ไม่ควรกินระยะยาวนะคะ (อ่านรายละเอียดได้ในบทความเก่า เรื่องยาแก้ปวด)

ที่อยากแนะนำคือการ"นวด" นวดนี้ก็อาจจะเป็นนวดโดยนักกายภาพบำบัด หรือนวดแผนไทยก็ได้ เขาก็จะกดจุดให้ คลายกล้ามเนื้อให้ อาการปวดจะดีขึ้นอยู่ อาการเมื่อยจะน้อยลง แต่จะไม่ได้หายในคราวเดียวนะคะ อาจจะต้องทำประจำหน่อยถึงจะดีขึ้น นอกจากนั้นก็มีแพทย์ทางเลือกอื่นที่ช่วยได้ เช่น "ฝังเข็ม" ทั้งนวดและการฝังเข็มนี้ ควรทำกับสถานบริการทางสุขภาพที่น่าเชื่อถือนะคะ

สิ่งที่เราสามารถทำได้เองที่บ้านคือการยืดกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ค่ะ อันนี้ควรทำทุกๆวัน จะช่วยลดอาการได้มากค่ะ
 myofascial pain syndrome, ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

Source: pt.mahidol.ac.th
และที่สำคัญคือการกำจัดสาเหตุ คือ ควรจัดที่นั่งทำงานให้เหมาะสมกับเรา หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วเช่น คอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตา ขาตั้งฉากกาับพื้น ความสูงโต๊ะอยู่ระดับศอก  ไม่ควรต้องก้มหน้ามากเวลาทำงาน เวลาเรานั่ง มีพนักพิง เวลาวางมือที่คีย์บอร์ด ข้อมือควรอยู่แนวเดียวกับแขน(คือไม่ต้องหักข้อมือนะคะ) ระหว่างใช้คอมพิวเตอร์ควรพักสายตาบ้าง เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีปัจจัยอื่นๆ เช่น สะพายกระเป๋าหนักที่ไหล่ การนั่งหรือเดินหลังค่อมเป็นต้น

เอาหล่ะคะ หวังว่าจะช่วยให้เหล่านักเล่นคอมที่กำลังอ่านบทความสบายเนื้อสบายตัวมากขึ้นนะคะ วันนี้สวัสดีค่ะ

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2556

หมอเองก็ลำบากใจ เมื่อต้องบอกข่าวร้ายกับคุณ

ละครไทยเกือบทุกเรื่องจะมีช่วงเวลาที่พระเอก หรือนางเิอกเฉียดตาย และแทบต้องกลั้นใจตามตัวละครทุกครั้งไปเมื่อได้เห็นคุณหมอเดินกลับออกมาจากห้องฉุกเฉิน (หรือห้องผ่าตัด ก็แล้วแต่ผู้แต่จะเลือกเอา) เพื่อบอกอาการคนไข้ ณ วินาทีทุกคนทั้งลุ้นทั้งกลัว กลัวจะเป็นข่าวร้าย และลุ้นในเป็นข่าวดี (แต่ทุกคนก็เชื่อว่ามันจะเป็นข่าวดี แม้เป็นข่าวร้ายพระเอกก็จะฟื้นได้ ถ้านางเอกไปนั่งร้องไห้ข้างเตียง 555) ความจริงแล้วบทบาทของหมอดูง่าย ตามบท "ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ" หรือไม่ก็ "เสียใจด้วยครับ ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป" แต่ในชีวิตจริง การเล่นบทหมอก็ไม่ง่ายขนาดนั้นค่ะ

ลองคิดดู จะมีซักกี่คนที่อยากบอกข่าวร้ายกับคนอื่น บอกแล้วต้องเห็นภรรยาผู้ป่วยเป็นลมล้มพับ ลูกหลานร้องไห้ หรือทุกคนอยู่ในภาวะเศร้าสลด การบอกเรื่องความตายที่ว่าลำบากแล้ว แต่นั่นเป็นแค่การบอกข่าวร้ายกับญาติๆผู้ป่วยเท่านั้น ผู้ป่วย(คนที่ตาย)คงไม่ได้รับรู้ด้วย (หรือไม่ก็คงจะรู้ตัวอยู่แล้ว) สิ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่าคือการบอกข่าวร้ายกับผู้ป่วยเอง อย่างการบอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง หรือเป็นเิอดส์ หมอเองก็กลัวค่ะ กลัวว่าบอกไปแล้วผู้ฟังจะร้องไห้ฟูมฟายเป็นลม หรือว่าอยากฆ่าตัวตาย!!!

เชื่อมั๊ยว่าศิลปะการบอกข่าวร้ายเป็นหัวข้อสำคัญหัวข้อหนึ่งในการเรียนหมอเลยทีเดียว อย่างที่บอก ถึงแม้ว่ายังไงเขาก็ต้องรู้ความจริง แต่เราก็อยากให้เขาสะเทือนจิตใจน้อยที่สุด ได้เตรียมตัวเตรียมใจก่อนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยเอง หรือว่าเป็นญาติๆ อันนี้เป็นสำคัญมาก และอาจมากกว่าการรักษาคือ นอกจากร่างกายเขาจะป่วยแล้ว ซึ่งบางโรคอาจรักษาไม่ได้ แต่เราก็พยายามไม่ให้ "จิตใจ"ของเขาป่วยไปด้วย

เอาหล่ะค่ะ เล่ามาตั้งยาวละว่าการบอกข่าวร้ายสำคัญขนาดไหน วันนี้อยากมาเล่าวิธีการบอกข่าวร้ายให้ทุกคนได้อ่านกัน อาจจะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันกันเองก็ได้นะคะ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยมีโอกาสบอกข่าวร้ายกับคนรู้จักบ้าง ไม่มากก็น้อย
 ศิลปะการบอกข่าวร้าย, breaking bad news, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


รู้ความคาดหวัง
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าคนที่กำลังจะได้ยินข่าวร้าย คาดหวังจะได้ยินอะไรจากเรา อย่างเช่นถ้าคนไข้ที่สบายดีมาตลอด เกิดป่วยหนัก ล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมา เราอาจจะถามว่า สงสัยบ้างมั๊ย หรือคิดว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าอาการร้ายแรงมั๊ย บางคนอาจตอบกลางๆว่า "ไม่รู้" แต่บางคนอาจจะตอบว่า "ก็คงไม่เป็นอะไรมากมั๊งครับ เพราะว่าสบายดีมาตลอด" ถ้าเรากำลังจะบอกว่าเขาเป็นมะเร็ง เราก็จะได้รู้ว่าเขาไม่ได้เตรียมใจเรื่องนี้มามากนัก อย่างไรก็ตามขั้นตอนนี้ เราอาจไม่จำเป็นต้องทำถ้าเรารู้อยู่แล้ว เช่นถ้าเป็นเพื่อนกันรู้จักกันอยู่แล้ว หรือเคยคุยเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว อย่างคนไข้บางคนก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า "ทำใจไว้แล้วหมอ ว่าเป็นไปได้ที่ตัวเองจะเป็นมะเร็ง" แบบนี้ เราก็จะรู้ว่า เขาได้เตรียมใจมาแล้ว 

ขั้นตอนนี้ทำเพื่อใ้ห้เรารู้ว่าเรากำลังจะเจอปฏิกิริยาอย่างไรหลังจากบอกข่าวร้าย ถ้าเขาเตรียมใจมาก็คงปฏิกิริยาไม่รุนแรง แต่ถ้าเขาไม่เตรียมใจมา เราก็ต้องเตรียมใจแทนว่าเราอาจจะเจออาการร้องไห้ฟูมฟาย อยากฆ่าตัวตาย หรืออาจถึงเป็นลม เป็นต้น

แสดงสัญญาณเตือนก่อน
เวลาที่กำลังจะบอกข่าวไม่ดี การค่อยๆแสดงสัญญาณทีละนิด จะดีกว่าการโยนทุกอย่างทีเดียวเหมือนขว้างระเบิด คนไข้อาจจะรับไม่ค่อยไหวเท่าไหร่ อย่างเรื่องมะเร็ง ก็อาจเริ่มด้วยสีหน้าที่กังวลเล็กน้อยของหมอ ถามคนไข้ว่า คิดไว้บ้างมั๊ยว่าผลจะเป็นอะไรได้บ้าง (ถามความคาดหวัง) แล้วก็บอกว่า "ผลไม่ค่อยดีเลยนะคะ มีความผิดปกติ ตรงโน้นตรงนี้ เป็นก้อนแบบนั้นแบบนี้" แล้วค่อยสรุปว่า คิดว่าก้อนเหล่านี้เป็นเนื้อร้าย หรือ มะเร็ง  วิธีนี้คนฟังจะค่อยๆซึมซับ และยังพอมีเวลาทำใจบ้าง ดีกว่าบอกว่า "คุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย" แต่สำหรับบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าวิธีนี้ดูลุ้นๆ อ้อมๆ ผู้ป่วยใจร้อนบางคนก็ถึงกับขัดและบอกหมอว่า "เอาตรงๆเลยดีกว่าหมอ ไม่ต้องอ้อม" อันนี้ก็คุณขอมา เราก็จัดให้ค่ะ ก็คงต้องบอกตรงๆกันไปเลย แต่ส่วนใหญ่วิธีค่อยๆเล่าทีละนิด จะดีกว่าค่ะ

ให้ความหวัง
ว่าง่ายๆก็คือการปลอบใจ คือหลังจากบอกข่าวร้ายแล้ว ถ้าเป็นหมอก็จะให้ความหวังก็คือบอกว่า ถ้าเป็นอันนี้แล้วจะต้องทำยังไงต่อไปเพื่อช่วยคนไข้ แต่ถ้าหลายๆคนจะเอาไปใช้กับการบอกข่าวร้ายอื่นๆ การให้ความหวังก็คือการให้กำลังใจ "ไม่เป็นไรนะ เรื่องมันแล้วให้แล้วไป เราค่อยเริ่มต้นใหม่" "ไม่เป็นไรทุกคนให้อภัย" ฯลฯ

โอเคค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นกลเม็ดที่เหล่าหมอใช้กัน เมื่อต้องบอกข่าวร้ายคนไข้ (ซึ่งต้องบอกบ่อยซะด้วย ก็แน่นอนแหล่ะ ่ไม่งั้นจะเรียกว่า คน"ไข้" ได้เหรอ) หวังว่าหลายๆคนจะได้ประโยชน์กับการเอาไปประยุกต์ใช้นะคะ


ไขมันมีทั้งดีทั้งเลวนะ จะบอกให้

พูดถึงไขมัน ก็สงสารเสียเหลือเกิน มองไปทางไหนก็เคยได้ยินแต่ "กำจัดไขมัน" "สลายไขมัน" "ไขมันส่วนเกิน" รู้สึกว่าคุณไขมันจะเป็นที่น่ารังเกียจของทุกคนเหลือเกิน แต่คุณรู้มั๊ย ความจริงแล้วไขมันดีๆก็มีนะคะ

ไขมันในเลือด, ดูแลสุขภาพ, ไขมันสูง, กินไขมัน, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
ไขมันผิดตรงไหน
ความเชื่อเกี่ยวกับไขมันว่าไม่ดีต่อเราอย่างไร พูดกันแบบที่เห็นกันชัดๆเลย ไขมันทำให้เราดูไม่ดี อ้วน เผละ ใส่อะไรก็ไม่สวย สำหรับบางคนก็ถือเป็นปมด้อยไปเลยทีเดียว สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ "ไขมันในเลือดสูง" ไขมันที่ว่านี้ หมายถึง"ไขมันเลว" มันทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตัน นำไปสู่โรคที่น่ากลัวหลายโรคทอย่างเช่น โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งเกิดจากไขมันอุดตันในเส้นเลือดในสมอง หรือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ก็เป็นจากการมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจเช่นกัน อีกอย่างที่ทุกคนควรรู้คือโรคไขมันสูงในเลือดนี้ไม่สัมพันธ์กับไขมันที่สะสมตามร่างกายนะคะ บ่อยครั้งที่คนผอมบางคนจะมีไขมันในเลือดสูงมาก และคนอ้วนบางคนที่ไขมันในเลือดปกติ

อย่างไรก็ตาม การไม่กินไขมันเลยก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว ความจริงร่างกายเองก็ต้องการไขมันซึ่งช่วยในการดูดซึมวิตามินที่ละลายเฉพาะในไขมัน และไขมันทำให้เรารู้สึกอิ่ม การลดไขมันในอาหารทุกชนิดอาจทำให้เรากินอาหารพวกแป้งมากกว่าปกติ ก็นำไปสู่ไขมันสะสมได้

ไขมันในเลือดก็มีหลายชนิดนะ
ไขมันในเลือดเองก็มีหลายแบบ มีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน แต่โรคไขมันในเลือดสูงที่เรากลัวกันนั้น หมายถึงไขมันไม่ดี หรือไขมันเลวอย่างเดียว เวลาเราไปเจาะเลือดเพื่อตรวจไขมันในเลือด ความจริงแล้วมีการเจาะตรวจทั้งไขมันดี และไขมันเลว โดยหลักๆจะมี LDL, total cholesterol, triglyceride ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นไขมันไม่ดี ยิ่งสูงยิ่งมีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาก ส่วนไขมันอีกตัวคือ HDL ไขมันตัวนี้เป็นไขมันดี ยิ่งสูงยิ่งดี มันช่วยลดโอกาสการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เรียกว่าคงต้องมองเหล่าน้องไขมันกันใหม่ อย่าไปเหมารวมกันหมดว่าเขาไม่ดีกันหมดนะคะ

แล้วไขมันที่เรากินกันหล่ะ
ไขมันที่เรากินแบ่งออกใหญ่ๆเป็น 2 แบบ คือ ไขมันอิ่มตัว กับไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งก็มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดีเหมือนกัน (เหมือน แม้ Vampire ในหนังส่วนใหญ่จะไม่ดี แต่ก็มี Vampire มังสวิรัติอย่างพระเอกใน twilight นะ)

ไขมันอิ่มตัว พบในไขมันสัตว์ และน้ำมันพืชบางชนิดได้แก่ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ไขมันอิ่มตัวนี้เป็นไขมันไม่ดี กินเข้าไปก็จะก่อให้เกิดไขมันไม่ดีในเลือดเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดนั่นเอง

ไขมันไม่อิ่มตัว พบมากในเหล่าบรรดาไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถ่ัวเหลือง น้ำมันงา น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น่้ำมันมะกอก และไบมันจากสัตว์ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้คือ น้ำมันปลา เป็นต้น ไขมันเหล่านี้เป็นไขมันดี ช่วยลดโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

มีไขมันเลวอีกชนิดหนึ่งที่ทุกคนควรรู้จัก เรียกว่า trans fat ไขมันพวกนี้พบได้ในไขมันสัตว์อยู่แล้ว และไขมันที่อดีตเคยเป็นไขมันไม่อิ่มตัวผู้แสนดี แต่กลายร่างเป็นไขมันเลวหลังจากผ่านกระบวนการทำอาหารบางอย่าง เช่น มาการีน ไขมันในอาหารที่ผ่านพลังงานความร้อนมากๆ เช่น เหล่าเบเกอรี่, ของทอด เป็นต้น

แล้วคอเลสเตอรอลหล่ะ
ความจริงคอเลสเตอรอล ไม่ใช่ไขมัน (อ้าว!!) มันเป็นสารคล้ายไขมันเฉยๆ ความจริงมันมีความสำคัญต่อเซลล์ในร่างกายของเรา แต่โดยทั่วไป ร่างกายของเราสังเคราะห์มันเองได้อย่างเพียงพอ การมีคอเลสเตอรอลสูงเกินไปในเลือดก็จะนำไปสู่เจ้าเก่าของเรา อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โอเมก้า 3 ก็เป็นไขมันนะเธอ
โอเมก้า 3 ที่โฆษณากันมากมายว่าบำรุงสมอง ทำให้ร่างกายแข็งแรง ความจริงแล้วก็คือไขมันไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง พบมากใน น้ำมันตับปลา ผลวอลนัท ปลาทะเลอย่าง แซลมอน, เฮอริงค์, ปลาแมคคลอเรล

สรุปแล้วไขมันกินได้ แต่ควรควบคุมปริมาณ และเลือกแหล่งของไขมัน เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับไขมันดีๆไปนะคะ ขอให้ทุกคนปราศจากโรคภัยค่ะ