วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตาแดงเกิดจากอะไรได้บ้างหรือ????

ตาแดงเป็นอาการที่เกิดได้บ่อยๆ หลายๆคนก็คงเคยเป็น ตาแดงๆเวลาที่มีอะไรเข้าตา เคืองๆอยู่บ้าง หลายครั้งก็สามารถหายได้เอง แต่หลายครั้งก็ต้องหยอดยาแล้วก็จะดีขึ้น แต่บางครั้งก็ต้องไปหาหมอเลยทีเดียว ตาแดงเกิดจากอะไรได้บ้าง ความจริงแล้วเราก็พอจะรู้สาเหตุได้ โดยดูจากอาการร่วม เป็นยังไง มาดูกันค่ะ
Why red eye


ทำไมตาแดง
คำว่า "ตาแดง" ส่วนใหญ่ เรามักจะหมายถึงว่าตาขาวของเราแดงมากขึ้นกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากเส้นเลือดที่ตาขาวขยายตัวขึ้น ทำให้เห็นเหมือนกับว่าตาของเราแดงกว่าปกติ สาเหตุที่ตาขาวแดงนั้นส่วนใหญ่ก็เกิดจากการอักเสบ สิ่งสำคัญคือ เราต้องหาสาเหตุว่า ตาของเรา"อักเสบ" จากอะไร และที่ไหน ก่อนจะไปพบแพทย์ มีสาเหตุว่ามาเล่าให้ฟังค่ะ ว่าอาการตาแดงเกิดจากอะไรได้บ้าง

สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
ส่วนใหญ่ก็มีอาการตาแดง ร่วมกับน้ำตาไหล เคืองตา ส่วนใหญ่ก็จะรู้ตัวว่ารู้สึกเหมือนมีอะไรเข้าตา หรือยังติดอยู่ในตา และรู้ว่าเริ่มมีอาการตอนไหน เป็นขึ้นมาทันที กรณีนี้ก็พยายามอย่าขยี้นะคะ อาจจะลองล้างน้ำสะอาดดู ถ้าเกิดว่าไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์ค่ะ และยิ่งถ้าเป็นสิ่งของที่มีความเร็วอย่าง เศษเหล็กจากเครื่องตัดเหล็ก ก็ควรไปพบแพทย์ค่ะ

การติดเชื้อเยื่อบุตา หรือกระจกตา
ถ้ามีอาการตาแดงข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ ร่วมกับ น้ำตาไหลมาก น้ำตาข้นเป็นหนอง เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ ค่อยๆเป็นขึ้นมา มากขึ้นเรื่อยๆ ตอนเช้ามีขี้ตาติดตาเป็นสีเหลืองๆเขียวๆ อันนี้ก็สงสัยได้เลยว่าอาจจะเป็นการติดเชื้อ และถ้าหากว่าเป็นมากก็อาจมีหนังตาบวมแดงไปด้วย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจ การรักษาก็หยอดยาฆ่าเชื้อ อาจจะร่วมกับการกินยาฆ่าเชื้อชนิดที่ตรงกับเชื้อที่เราติดมา

ภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา
กลุ่มนี้ก็ตาแดงเหมือนกัน แต่จะร่วมกับอาการ "คัน"ตา ขอเน้นว่า "คัน" ไม่ใช่เคือง เจ็บ หรือปวด ร่วมกับน้ำตาใสๆไหลตลอด และยิ่งถ้าคันจมูก คัดจมูก หรือเป็นภูมิแพ้อยู่เดิม อาการคันตานี้ก็น่าจะเป็นจากภูมิแพ้ค่ะ กลุ่มนี้ ถ้ากินยาแก้แพ้ และหยอดยาแก้แพ้ อาการก็จะดีขึ้น แต่ก็อาจเป็นซ้ำได้อีกถ้าเจอสิ่งที่แพ้อีกนะคะ

เลือดออกชั้นเยื่อบุตา
เป็นอาการตาแดงค่ะ แต่ไม่ได้แดงเหมือนอันอื่นๆที่แดงแต่ดูใกล้ก็เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยๆ แต่อันนี้เป็นปื้นเลือดสีแดงสดน่ากลัวเลยทีเดียว โดยที่เป็นอาการตาแดง ไม่คัน ไม่แสบ  ไม่ปวดตา ไม่เคืองตา ไม่มีน้ำตาไหล อยู่ๆก็เกิดขึ้นเอง ไม่มีอาการอย่างอื่นเลย โดยไม่ได้มีอุบัติเหตุอะไร อันนี้ก็เกิดขึ้นได้ค่ะ และไม่เป็นอันตราย และไม่ต้องหยอดยาอะไร จะหายได้เองนะคะ สิ่งที่ต้องระวังคือ ถ้ามันเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเป็นหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ กระทบกระแทก ให้มาตรวจที่โรงพยาบาลหน่อยนะคะ

การอักเสบในลูกตา
ส่วนใหญ่ก็มีตาแดงเหมือนกัน ร่วมกับปวดตา ตาสู้แสงไม่ได้ มองเห็นภาพไม่ชัด โดยที่ไม่ได้มีอาการน้ำตาไหล ขี้ตาเยอะ ก็สงสัยได้ว่าเป็นโรคกลุ่มนี้ ควรได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์นะคะ

ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
สุดท้ายภาวะนี้ค่อนข้างรีบด่วน อาการต้อหินเฉียบพลันจะมีอาการตาแดงร่วมกับอาการปวดตามาก บางคนอาจรู้สึกว่าปวดหัวมากกว่า จนขนาดคลื่นไส้อาเจียน ตาพร่า เห็นแสงเป็นสีรุ้งๆ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อวัดความดันตา เพราะต้อหินชนิดเฉียบพลันมักจะมีความดันในลูกตาสูง ซึ่งจะไปกดจอประสาทตาทำให้การรับภาพเสียไปได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วค่ะ


ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการตาแดงได้ มีตั้งแต่โรคไม่ร้ายแรง จนถึงโรคร้ายแรง สรุปว่า ถ้าไม่แน่ใจว่าอาการตาแดงเกิดจากอะไรเป็นอะไรก็ควรไปพบแพทย์ จะดีที่สุดนะคะ

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ยาแก้อักเสบคืออะไรหนอ??

หลายคนคงเคยกินยาที่เรียกกันว่า "ยาแก้อักเสบ" กันอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นหวัด เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก ปวดแขนปวดขา ปวดเข่า ปวดข้อ วันนี้อย่างให้ทุกคนเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ยาที่เรียกกันติดปากว่า "ยาแก้อักเสบ" นั้น ความจริงมีสรรพคุณอะไร

ตกลงยาแก้อักเสบคืออะไรกันแน่
จริงๆแล้วยาแก้อักเสบที่เรากินๆกัน ฮิตมากคือ Amoxicillin(เรียกกันสั้นๆว่า Amoxy เป็นยาแคปซูล มีหลายสีแล้วแต่ยี่ห้อ) ความจริงแล้วเป็น "ยาฆ่าเชื้อ" คือการออกฤทธิ์จริงๆเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย แต่เนื่องจากการติดเชื้อมักทำให้เกิดการอักเสบ (แต่การอักเสบอาจจะไม่ได้มาจากการติดเชื้อเสมอไป) ก็เลยมักจะพูดกันง่ายๆว่า ยาแก้อักเสบ

แล้วยาแก้อักเสบจริงๆมีรึเปล่า
ต้องตอบก่อนว่า "การอักเสบคืออะไร" การอักเสบเป็นการตอบสนองของร่างกายต่อส่วนที่เกิดความผิดปกติ เหมือนกับเวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วมักจะมีไทยมุง ยังไงอย่างงั้นเลยค่ะ เช่นถ้าร่างกายเราเกิดการติดเชื้อ มีเชื้อโรคแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายของเราจะส่งหน่วยต่อสู้ (คล้ายๆกับตำรวจในร่างกาย) ซึ่งก็คือเม็ดเลือดขาวไปยังบริเวณทีเกิดความผิดปกตินั้น และก็จะเกิดการต่อสู้ของเม็ดเลือดขาวกับเชื้อโรคเหล่านั้น บริเวณทีเกิดการต่อสู้ขึ้นก็จะเห็นบริเวณที่เกิดการบวม แดง ร้อน และปวดขึ้นมา ส่วนใหญ่เวลาที่เชื้อกำลังเจริญเติบโตอยู่บนตัวเรา ก็จะไม่เห็นอาการอะไรหรอกค่ะ แต่อาการส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเราเริ่มต่อสู้ ก็เลยปวด บวม แดง ร้อน ซึ่งทำให้เราทรมาน แต่ความจริงแล้วก็เป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่าร่างกายของเรากำลังต่อสู้

แต่สิ่งที่เม็ดเลือดขาวต้องต่อสู้ก็ไม่ได้มีแค่การติดเชื้อเท่านั้น เช่นเวลาที่มีกระดูกหัก มีรอยฟกช้ำ จากอุบัติเหตุ หัวโน กล้ามเนื้อฉีก เอ็นฉีกจากการเล่นกีฬา  แบบนี้ก็ไม่ได้มีการติดเชื้อ แต่จะมีการอักเสบเกิดขึ้นเพื่อเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บของร่างกาย

ยาต้านการอักเสบ ที่ลดการทำงานของเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ก็มีอยู่ และหลายคนอาจจะใช้กันอยู่ แต่เรากลับเรียกมันว่า "ยาแก้ปวด" เป็นยาแก้ปวดชนิดที่เรียกว่า "NSAID" (Non steroidal anti-inflammatory drug) เช่น Diclofinac, Bufen, Naproxen เป็นต้น ยาเหล่านี้จะทำให้การอักเสบลดลง ทำให้อาการ ปวดบวมแดงร้อน ลดลง แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว แต่อาการปวดบวมแดงร้อนของการอักเสบจะลดลง แต่ร่างกายก็จะยังต่อสู้ และซ่อมแซมส่วนที่ซึกหรอได้เหมือนเดิมค่ะ

รู้อย่างงี้แล้ว.....
สิ่งที่ควรระวังคือ การกินยาแก้อักเสบ (ยาฆ่าเชื้อ) ควรกินเมื่อมีอาการของการติดเชื้อ เช่น เจ็บคอ คอแดง มีแผลติดเชื้อ เป็นหนอง หรือเป็นสิว แต่ถ้าเป็นการอักเสบอย่าง ปวดแขนปวดขา ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออักเสบก็ควรกินยาแก้ปวด (ความจริงเป็นยาต้านการอักเสบของจริง) การกินยาฆ่าเชื้อโดยที่จริงๆแล้วไม่มีการติดเชื้อ ในระยะสั้นก็ไม่ได้มีผลข้างเคียงกับร่างกายมากนัก ถ้าไม่ได้แพ้ยา แต่การใช้ยาฆ่าเชื้อมากเกินไป จะทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ และหากเราเกิดการติดเชื้อจริงๆ อาจจะต้องกินยาฆ่าเชื้อที่แรงขึ้นไปอีก ก็จะส่งผลเสียในระยะยาวได้ค่ะ

ยังไงก็ตาม รักษาสุขภาพให้แข็งแรงจะได้ไม่ต้องกินยาดีกว่านะคะ

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ทำไมถึงเมารถ

อาการเมารถ เมาเรือ เจอได้บ่อยๆ บางคนเป็นอยู่ตลอด จะแก้ยังไงก็ไม่หาย แต่บางคนก็จะเป็นบางครั้ง เช่นเวลาที่อ่านหนังสือบนรถ หรือดูหนังบนรถ บางคนก็ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ หลายคนก็เลยเริ่มสงสัยว่า แล้วทำไมเราถึงเมารถ และควรทำอย่างไร

ทำไมถึงเมารถ
โดยปกติร่างกายของเรารับรู้ตำแหน่งที่ส่วนต่างๆของร่างกายตั้งอยู่ได้ ด้วยอวัยวะสำคัญชิ้นหนึ่ง ที่อยู่ที่หูชั้นใน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "Semicircular canal" ความจริงก็ไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะว่ามันจะชื่ออะไร เอาเป็นว่ามันเป็นตัวที่คอยรับรู้ว่าเรากำลังนอนอยู่ หรือนั่งอยู่ กำลังเดินไปข้างหน้า หรือเดินถอยหลัง นอกจากนี้ก็จะมีการรวบรวมข้อมูลจาก "การมองเห็น" และ"ผิวหนังแขนขา" เพื่อประกอบกันว่าร่างกายของเราเคลื่อนไปทางไหน เช่น เรากำลังเดินไปข้างหน้า หูชั้นในเรารับรู้ว่าร่างกายกำลังไปข้างหน้า ตาก็มองเห็นว่าเราไปข้างหน้า และเท้าของเราที่สัมผัสพื้นก็บอกว่าเรากำลังไปข้างหน้า อันนี้ทุกอย่างก็ประสานกัน ราบรื่นดี

แต่บางเวลาอย่างเช่นเวลาที่เรานั่งรถ แล้วอ่านหนังสือ หรือเล่น facebook หูชั้นในของเราบอกว่าเรากำลัง"เคลื่อน"ที่ ขาและหลังที่ติดกับเบาะก็บอกว่ากำลัง"เคลื่อน"ไปข้างหน้า แต่ตาเนี๊ยดันบอกว่า "อยู่นิ่ง" ทีนี้สมองก็เริ่มเกิดการสับสนและตีกัน ก็เลยเกิดเป็นอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน มึน เมารถขึ้นมานั่นเอง อันนี้ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่การนอนหลับไปเลย จะไม่เมารถ เพราะว่าเราไม่รับรู้ข้อมูลจากตานั่นเอง

แล้วทำไมบางคนเป็น บางคนไม่เป็น
ความจริงแล้วทางการแพทย์เชื่อว่าถ้าเกิดว่าใครก็ตามที่ตากับหูชั้นในรับรู้การเคลื่อนไหวสอคคล้องกันนี้แบบนี้ ก็จะเกิดอาการเมาทุกคน ถ้าอยู่ในภาวะนี้นานพอ เพียงแต่แต่ละคนเกิดช้าเกิดเร็ว และสำหรับการอ่านหนังสือบนรถทัวก็มักจะเป็นน้อยกว่า การอ่านหนังสือบนรถเก๋ง เพราะว่ารถแกว่งน้อยกว่า (ยกเว้นรถทัวร์ซิ่งนะคะ)

ควรจะทำยังไง
อันดับแรกที่ช่วยได้ดีที่สุดก็คือการปรับตัวเราเอง ได้แก่ ไม่อ่านหนังสือ หรือพยายามเล่นมือถือ tablet บนรถ บนเรือ หรือบนพาหนะที่กำลังเคลื่อนอยู่ มองออกไปนอกหน้าต่าง หรือไกลๆ ถ้านั่งเรือสำราญก็ควรอยู่ในห้องที่มีหน้าต่างให้เห็นข้างนอก จะช่วยลดอาการได้ หรือบางคนที่เป็นหนักจะหลับไปเลยก็ได้ หรือนั่งหลับตาก็มักจะช่วยให้ดีขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ควรจำไว้คือ ภาวะนี้ "ป้องกัน จะได้ผลดีกว่าแก้ไข" คือถ้ามีออาการเมาแล้วค่อยมาแก้กัน มักจะได้ผลไม่ดีนัก คนที่รู้ตัวว่าเมาได้ง่ายๆก็อาจจะกินยาแก้เมารถก็จะช่วยได้ โดยควรจะกินก่อนนั่งรถ หรือนั่งเรือ อย่างที่หลายคนคงเคยทำกันอยู่

นอกจากนี้ก็มีการศึกษาออกมาว่า อาหารที่มีรสจัดๆช่วยลดอาการเมารถเมาเรือได้เหมือนกัน ส่วนเหตุผลที่เป็นอย่างงั้นก็ยังไม่มีใครรู้แน่ชัด

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ ภาวะเมารถเมาเรือนี้ "จิตใจ" มีส่วนเกี่ยวข้องมากพอสมควร คนที่เคยเมารถเมาเรือ ก็มักจะเป็นซ้ำๆเพราะว่ามีความ"ฝังใจ"อยู่ ว่าถ้านั่งอีกจะต้องเมารถ เมาเรือแน่นอน ความจริงแล้ว ถ้าทำใจสบายๆ ลองมองออกไปนอกหน้าต่างไกลๆ ก็อาจจะไม่มีอาการแล้วก็ได้นะคะ

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเดินทางค่ะ




วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หัวกระแทกอย่างแรง!! ทำไงดี

แน่นอนว่าหลายคนคงเคยได้ยินมาว่า บางคนประสบอุบัติเหตุ หัวกระแทกอย่างแรงจนสลบ หรือจนมีเลือดออกในสมอง ถึงขั้นกลายเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิงนิทรา พอเรา หรือคนใกล้ตัวเราประสบอุบัติเหตุบ้าง ก็เริ่มสงสัยว่า "จะเป็นอะไรมากมั๊ย" แล้วจะรู้ได้ยังไง มาลองอ่านดูกันค่ะ (อ่านแล้ว หวังว่าจะทำให้นั่งซิ่งหลายคน หันมาใส่หมวกกันน็อกนะคะ)

อันตรายจากศีรษะกระแทก
คำถามแรกคือ การที่หัวของเรากระแทกกับของแข็งอย่างแรง จะทำให้เกิดอะไรได้บ้าง (จะสลบจริงๆเหมือนเวลานางเอกเอาไม้ฟาดหัวผู้ร้ายรึเปล่า)

ก็ไล่ตามจากชั้นนอกไปชั้นในนะคะ ที่เห็นกันชัดๆอันแรกคือที่ผิวหนัง อาจจะฟกช้ำดำเขียว อันนี้ก็คงไม่ค่อยแปลกซักเท่าไหร่ รุนแรงขึ้นอีกหน่อยก็ "หัวโน" ก็คือเห็นเป็นลูกๆขึ้นมา ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่มักจะเกิดตามหลังจากที่ถูกกระแทกแล้วซัก 1-2 ชั่วโมง อันนี้เป็นจากการที่มีเลือดออกใต้ผิวหนังมาก เลือดมาคั่งรวมกันจนเห็นผิวหนังปูดขึ้นมา แรงขึ้นอีกก็อาจจะมีผิวหนังฉีกขาด เลือดอาบ ที่เรียกกันว่า "หัวแตก" ความจริงก็คือเลือดที่ไหลออกจากผิวหนังที่ฉีกขาดนั่นเอง

หัวกระแทก,ศีรษะกระแทก,เลือดออกในสมอง
ถัดเข้ามาเป็นกะโหลกศีรษะ การกระแทกอย่างแรงมากๆ ก็สามารถทำให้กะโหลกศีรษะร้าวได้ และอาจจะถึงกับแตกเป็นชิ้นได้ แต่แรงกระแทกจนทำให้กะโหลกร้าวหรือแตกได้นั้น มักจะแรงมากจนน่าจะกระทบกระเทือนสมองด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วในคนที่เกิดการกระทบกระเทือนที่สมองอาจไม่พบการแตกร้าวของกะโหลกเลยก็มี

มาถึงส่วนที่ทุกคนอย่างรู้มากที่สุดคือ "สมอง" การกระแทกทำให้สมอง"ช้ำ"ได้ ที่สมองช้ำเป็นได้จาก 2 แบบ แบบแรกคือ แรงกระแทกส่งผ่านจากกะโหลกไปถึงสมอง ทำให้เกิดรอยช้ำของสมอง "ตรงกับ" ตำแหน่งที่ถูกกระแทก แบบที่สองคือนึกถึงเวลาที่เราเขย่าขวดที่มีเหรียญข้างใน เราสะบัดขวดไปทางขวา แต่เหรียญจะกระทบกับขวดด้านซ้าย อันนี้มักเกิดในกรณีที่เรากำลังเคลื่อนที่แล้วมีของแข็งมากระแทกหัวเราอย่างจัง ทำให้กะโหลกเราเปลี่ยนทิศเคลื่อนที่ทันที สมองที่ยังเคลื่อนไปทางเดิมก็เลยกระแทกกับกะโหลก จนเกิดรอยช้ำของสมองที่ "ตรงข้าม" กับบริเวณที่ถูกกระแทก

พอสมองเรากระแทกแล้วก็มักจะเลือดออก แล้วแต่ความหนัก และการส่งผ่านแรง ถ้าผ่านเส้นเลือดใหญ่ หรือแรงกระแทกแรงมากก็อาจมีเลือดออกมาก ถ้าเส้นเลือดเล็ก และแรงกระแทกน้อยก็มีเลือดออกน้อย เลือดที่ออกไม่มากเราอาจจะแค่ปวดหัว แต่หลังจากนั้น เลือดก็จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย อาการก็หายได้เอง แต่ถ้าเลือดออกมากอาจจะกดสมองทำให้เรามีอาการเช่น ซึมลง หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด พฤติกรรมเปลี่ยน หรือ หมดสติไปเลยก็ได้

แล้วต้องทำยังไง
สิ่งสำคัญคือ "อาการ" ของเราค่ะ ขอแบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ขั้น

ขั้นแรก หลังจากที่ศีรษะกระแทก อาจจะมีอาการปวดหัวเล็กน้อย มึนงงเล็กน้อยได้ แต่ก็หายได้เองในเวลาไม่ถึงชั่วโมง หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตได้ปกติ ถ้าเป็นแบบนี้แม้ว่าหัวจะโน หรือหัวแตก หรือแค่ช้ำ อันนี้ก็อย่าพึ่งกังวล เพราะน่าจะเป็นไม่มาก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลค่ะ แต่กันไว้คือควรจะสังเกตอาการเองใน 24 ชั่วโมง ถ้ามีอาการผิดปกติก็ควรกลับมาพบแพทย์ค่ะ

ขั้นที่สอง หลังจากที่ศีรษะกระแทก ภายใน 24 ชั่วโมงมีอาการคือ คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะมาก หรือมีช่วงที่หมดสติไม่รู้สึกตัวไป จำเหตุการณ์ต่างๆไม่ได้หมด อันนี้สมควรมาพบแพทย์อีกครั้งเพื่อตรวจร่างกายซ้ำ เอ็กซเรย์สมอง หรือ นอนเฝ้าดูอาการที่โรงพยาบาลค่ะ

ขั้นที่สาม คือภายใน 24 ชั่วโมงมีอาการที่ชัดเจน เช่น ซึม หมดสติ แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด พูดไม่รู้เรื่อง พฤติกรรมเปลี่ยน อันนี้ควรรีบส่งโรงพยาบาลทันที และควรได้เอ็กซเรย์สมองโดยเร็วเพื่อดูว่ามีเลือดออกในสมองมากน้อยแค่ไหนค่ะ และเพื่อวางแผนการรักษาต่อไปค่ะ โดยมากถ้ามีอาการถึงกับหมดสติ ไม่รู้สึกตัว แขนขาอ่อนแรง ก็มักมีเลือดออกมาก และต้องผ่าตัดสมองเพื่อเอาเลือดที่กดสมองออกค่ะ

สรุปแล้วสิ่งสำคัญคือการสังเกตอาการค่ะ การเอ็กซเรย์สมองก่อนมีอาการมักจะไม่เจออะไรค่ะ ถึงเจอก็ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เพราะว่าเลือดเหล่านี้ร่างกายสามารถดูดซึมออกไปได้เอง สิ่งที่ทำได้ก็คือสังเกตอาการไปก่อนค่ะ ถ้าไม่มีอาการการผ่าตัดเรียกว่าเจ็บตัวฟรีก็ว่าได้ค่ะ

เหล่านักซิ่งทั้งหลาย สวมหมวกกันน็อกกันเถอะค่ะ ถึงเจ้าหญิงนิทราจะได้เจ้าชายรูปงาม แต่ชีวิตจริงการจุมพิตไม่ทำให้ฟื้นคะ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คนที่ติดเชื้อ HIV บางคนเท่านั้น ที่เป็นเอดส์???

ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า "เอดส์" กับ "ติดเชื้อเอชไอวี(HIV) พอสมควร ไม่ว่าจะด้วยฐานะ โรคที่น่ารังเกียจ หรือโรคที่น่าสงสาร แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้ว 2 คำนี้ ไม่เหมือนกัน และเรารู้จัก 2 คำนี้ดีแค่ไหน มาดูกันค่ะ

คนที่ติด HIV บางคนเท่านั้นที่เป็นเอดส์???
HIV ย่อมาจาก Human immunodeficiency virus นี่เป็นชื่อของ "ไวรัส" หรือ เชื้อโรคตัวหนึ่ง ส่วน AIDS (เอดส์) ย่อมาจาก Acquired immunodeficiency syndrome (ไม่ได้แปลว่าช่วยเหลือนะคะ) เป็นชื่อของ "กลุ่มอาการ" อย่างหนึ่งของภาวะ "ภูมิคุ้มกันบกพร่อง"

คนที่ติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด จะตรงไปหาเซลล์เม็ดเลือดขาว ปกติแล้วเม็ดเลือดขาวเป็นเหมือนตำรวจในร่างกายของเรา ค่อยจับและทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของเรา แต่เมื่อเชื้อ HIV ไปเจอกับเซลล์เม็ดเลือดขาว มันจะเข้าไปกบดานในนั้น แล้วเพิ่มจำนวนตัวเอง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นอ่อนแอ และทำงานไม่ได้ ก่อนจะตายไป แล้วเชื้อ HIV ก็จะกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรามีนับได้เป็นล้านตัว เจ้าเชื้อ HIV นี้ก็จะค่อยๆกระจายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะยังสบายดีอยู่ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ถึงมีก็อาจมีเล็กน้อย จนกระทั่งเม็ดเลือดขาวถูกทำลายไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนกับตำรวจในประเทศที่ทำงานจริงๆ ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถดูแลทั่งร่างกายได้ทั่วถึงอีกต่อไป เมื่อถึงจุดนี้ คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะมีลักษณะของการติดเชื้อที่ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป อันนี้แหละค่ะที่เรียกว่า "AIDS"

แล้วคนที่ติด HIV ทำยังไงถึงจะไม่เป็นเอดส์
ปัจจุบันเราพูดได้ว่า "เอดส์รักษาไม่ได้ แต่ 'ควบคุม' ได้" ตอนนี้เรามียาต้านไวรัส HIV เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่ถูกทำลาย และถ้าได้รับยาต่อเนื่อง เม็ดเลือดขาวก็จะถูกสร้างขึ้นมาและทำงานได้ตามปกติ ทำให้คนที่ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป แต่ปัญหามีอยู่คือ ยาเหล่านี้เกิดการดื้อได้ง่ายมาก เพียงแค่การลืมกินยาเพียงครั้งเดียว หรือไม่ตรงเวลาไปแค่ 1 ชั่วโมง ก็มีโอกาสทำให้เชื้อดื้อยาได้แล้ว ถ้าดื้อยาครั้งแรกก็ยังมียาที่เป็นทางเลือกอื่นให้ลองใช้ แต่ถ้าเกิดการดื้อบ่อยๆ จนสุดท้ายแล้วดื้อยาทุกตัวที่มีอยู่ ก็เรียกว่าหมดความหวังกันเลยทีเดียว

ได้ยินว่ารักษาได้แล้ว
ไม่นานมานี้มีข่าวว่าเราสามารถรักษา HIV ได้แล้ว ก็ใช่ค่ะ แต่เป็นการได้ยาภายใน 7 วันหลังจากได้รับเชื้อ เรียกว่าก่อนที่เชื้อจะกระจายก็กินยาเพื่อสกัดกั้นไว้ก่อน ซึ่งในความเป็นจริง คนไข้ก็ไม่ค่อยรู้ตัวหรอกค่ะว่าติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะรู้ตัวก็เพราะมีอาการแล้ว หรือรู้จากการเจาะเลือดด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น ค่ะ

ป้องกันดีกว่าแก้
ว่าแล้วก็อยากจะแนะนำตรงนี้ HIV เป็นไวรัสที่ติดต่อทาง "เลือด" และ "เพศสัมพันธ์"

ทางเลือดก็สามารถมาจากการใช้เข็มร่วมกันเช่น ยาเสพติด การสักตามร่างกาย ถูกเข็มจากผู้ป่วยตำ (กรณีบุคลากรทางการแพทย์) ส่วนการรับเลือดนั้น ปัจจุบันมีการตรวจเช็คเลือดที่ค่อนข้างรัดกุม จึงมีโอกาสเกิดน้อยมาก นอกจากนี้ก็มีการติดจากแม่สู่ลูกด้วย

ทางเพศสัมพันธ์เป็นด้านที่ควบคุมได้ยากที่สุด การป้องกันอยู่ที่การไม่สำส่อนทางเพศ ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย การตรวจเลือดตอนฝากครรภ์ และการเจาะเลือดจากการบริจาคเลือด ช่วยให้ตรวจพบผู้ติดเชื้อเร็วขึ้นก่อนจะมีอาการ ทั้งนี้ยังมีมาตรการต่างๆที่ต่างประเทศใช้ (แต่ประเทศไทยไม่มี) เช่น ส่งเสริมให้มีการเจาะเลือดก่อนแต่งงาน เป็นต้น แต่ถึงเมืองไทยยังไม่มี แต่คู่ไหนอยากทำก็ทำได้นะคะ

ปัจจุบันยาโรคเอดส์ดีขนาดที่ว่า มีคนมากมายในสังคมที่เป็นเอดส์ แต่เขากินยาควบคุมไว้ และสามารถใช้ชีวิตแบบปกติสุข (เว้นแต่การมีเพศสัมพันธ์เท่านั้นค่ะ)

Safe sex, safe life ค่ะ

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เห็นจุดดำๆลอยไปมา วุ้นตาเสื่อมรึเปล่า??

เคยมั๊ยที่บางทีก็เห็นจุดดำๆลอยไปมา ทั้งๆที่มันไม่ได้มีอยู่จริง ที่กำลังพูดถึงไม่ใช่ผีนะคะ ถึงแม้ว่าจะฟังดูหลอน แต่บางคนอาจเคยมีอาการคือ เวลามองไปที่โล่งๆ พื้นขาวๆ เป็นเงาดำๆ บางครั้งเป็นเส้นๆ บางครั้งเป็นจุดๆ ลอยไปมา กลอกตาไปทีก็ลอยไปทางนั้นที กลอกตาไปอีกทางก็ลอยตามมาอีกทาง หลายคนสงสัยว่ามันคืออะไร และจะเป็นอะไรมั๊ย ลองมาอ่านกันดูค่ะ

ทำไมถึงเห็นเป็นจุดดำ?
ดวงตาของเราเหมือนกับกล้องถ่ายรูปค่ะ มีเลนส์อยู่ข้างหน้า และมีฉากรับภาพข้างหลัง (ถ้าเป็นรุ่นเก่าก็จะเป็นตำแหน่งของฟิล์ม) ตรงกลางที่เป็นที่ว่างของกล้อง ในตาของเรามีวุ้นเหลวใสๆอยู่ที่เรียกกันว่า "วุ้นลูกตา"นะคะ เวลาที่กล้องเราไม่สะอาด มีอะไรมาบังอยู่ระหว่างทางของแสง พอถ่ายภาพมาก็จะเหมือนกับมีอะไรดำๆ เป็นเงาอยู่บนภาพ ดวงตาของเราก็เช่นกันค่ะ ถ้ามีอะไรมาขวางทางเดินของแสง ไม่ว่าจะเป็นที่วุ้นตา กระจกตา หรือเลนส์ตา ก็จะทำให้เราเห็นเหมือนเป็นจุดดำๆบนสิ่งที่เราเห็นได้ จะแตกต่างกันก็ตรงที่ ถ้าจุดดำๆนั้นอยู่ตำแหน่งเดิมตลอดไม่ว่าเราจะหันศีรษะไปทางไหน จุดนั้นก็น่าจะอยู่บนกระจก หรือเลนส์ตา แต่ถ้าจุดนั้นลอยไปลอยมา เราหันหน้าที กลอกตาซ้ายที ขวาที จุดนั้นก็เปลี่ยนทิศไปมา อันนี้ก็น่าจะอยู่ในวุ้นตา

คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเห็นจุดดำในตา มักจะเห็นเป็นจุดที่ลอยไปลอยมามากกว่า ดังนั้นแหล่งกำเนิดของจุดดำนั้นก็มักจะมาจากวุ้นตามากที่สุด

เกิดจากอะไรได้บ้าง
มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้เกิดเห็นจุดดำลอยอยู่ในตา ได้แก่

เซลล์ของวุ้นตา
ปกติแล้วในลูกตาของเราจะมีเซลล์อยู่ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยน สร้างใหม่อยู่ตลอด(เหมือนผิวหนังของเราที่ลอกเป็นขี้ไคลอยู่ตลอดเลยค่ะ ปกติแล้วเซลล์เหล่านี้ก็จะสลายไปเอง แต่ถ้าเกิดเซลล์ที่ลอกหลุดนี้เกิดมาเกาะรวมกลุ่มกันก็จะทำให้เราเห็นเป็นจุดดำๆลอยไปมาในวุ้นตาได้ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นจากสาเหตุนี้ก็จะไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นเลยค่ะ การมองเห็นก็ปกติดี  ไม่ปวดตา ไม่เคืองตา เมื่อเวลาผ่านไปจุดดำๆก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแต่จะลดลง หรืออย่างมากก็เท่าเดิม

การเสื่อมของวุ้นตา
อันนี้แน่นอนว่าหลายคนคงจะเคยได้ยินมาเรื่อง "วุ้นตาเสื่อม" ถามว่าเกิดจากอะไร อันนี้ความจริงก็ยังไม่มีสาเหตุแน่ชัด มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ส่วนใหญ่คนที่อายุมากขึ้น วุ้นตาก็ต้องมีการเสื่อมเป็นธรรมดา ถามว่าอันตรายมั๊ย ส่วนหนึ่งนอกจากปัญหาที่เห็นจุดดำๆลอยไปมาน่ารำคาญแล้ว ก็ไม่ได้มีอาการอย่างอื่นอีก แต่ส่วนหนึ่งเป็นมากขึ้นเรื่อยๆและมีปัญหาอื่นตามมา(ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าอีกทีว่าปัญหาที่ว่าคืออะไรนะคะ) ถ้าถามว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราจะได้ไปทางไหน คำตอบคือ ต้องให้หมอตาตรวจค่ะ และอาจจะต้องมาตรวจติดตามเป็นระยะๆ ถ้าเกิดมีสัญญาณความผิดปกติเกิดขึ้นมา ก็อาจจะต้องมีการรักษาอื่นๆเพิ่มเติมกันไปค่ะ

ที่ติดไว้เรื่อง"ปัญหา"ที่ตามมาจากวุ้นตาเสื่อม ปัญหานั้นคือ "จอประสาทตาลอกหลุด" ค่ะ ลองนึกถึงส้มกับเปลือกส้ม เปลือกส้มเป็นลูกตาของเรากลมๆ มีวุ้นตาข้างในเป็นเนื้อส้ม จอประสาทตาเป็นเยื่อบางๆที่ติดอยู่ที่ผิวของเนื้อส้ม เวลาที่วุ้นตาเสื่อมมันจะหดตัว เหมือนกับถ้าเนื้อส้มหดตัว มันก็จะพาเอาเยื่อบางๆบนตัวมันลอกออกมาจากเปลือกส้มไปด้วย นั่นแหละค่ะ เพราะว่าเวลาวุ้นตาเสื่อมจะหดตัว ทำให้จอประสาทตาลอกหลุดไปด้วย จอประสาทตาลอกหลุดนี้ถ้าปล่อยไว้ไม่รีบไปรับการรักษาสามารถทำให้ตาข้างนั้นบอดได้เลยนะคะ

ถ้าจอประสาทตาลอกหลุด ช่วงแรกๆเราจะเห็นแสงแวบๆ เหมือนฟ้าแลบ อยู่ๆก็เห็นเอง แล้วก็หายไป (ไม่ใช่ผีนะคะ) ต่อมาเราจะมองไม่เห็นภาพบางส่วนค่ะ เหมือนเราเอาฉากมาปิดบางส่วนของภาพไว้ ถ้าเริ่มเห็นแสงแวบๆก็ควรรีบไปพบหมอตาแล้วค่ะ เพื่อทำการรักษาก่อนที่จะเป็นมากนะคะ

เลือดออกในวุ้นตา
อันสุดท้ายคือการที่มีเลือดออกในวุ้นตา ก็เหมือนกับเรามองผ่านน้ำขุ่นๆ  แต่การที่จะมีเลือดออกในวุ้นตาได้เนี๊ย ต้องมีสาเหตุอยู่ คนที่แข็งแรงทั่วไปจะไม่มีเลือดออกในวุ้นตาค่ะ สาเหตุที่เกี่ยวข้องเช่น อุบัติเหตุกระทบกระแทกใกล้ๆลูกตา เป็นโรคเบาหวาน แล้วมีเบาหวานขึ้นตา มีโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในลูกตาผิดปกติอยู่เดิม เป็นโรคความดันโลหิตสูง

สรุปแล้วถ้ามีปัญหาก็ควรไปตรวจซักครั้งหนึ่งนะคะ และถ้าไม่มีอะไรผิดปกติสบายใจได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรเฝ้าดูอาการต่อไป ถ้ามีอาการผิดปกติเพิ่มเติม ก็ควรรีบไปรับการรักษานะคะ สวัสดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อัมพฤกษ์ อัมพาต คืออะไร??

หลายคนคงเคยได้ยินโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตกันมาก่อน อาจจะแค่เคยได้ยิน บางคนก็เคยเห็นมาบ้างว่าเป็นโรคที่ทำให้หลายคนต้องนอนติดเตียง เดินเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ขณะที่สติสัมปชัญญะทุกอย่างยังครบถ้วน หรือบางคนก็เหมือนจะคิดได้เหมือนเดิม แต่ไม่สามารถสื่อสารสิ่งที่ตัวเองพูดออกมาได้ หลายคนกลัวว่าจะเป็นเพราะว่าบางส่วนก็รักษาไม่หาย และที่สำคัญ โรคนี้ยิ่งมาถึงมือหมอเร็ว ยิ่งมีโอกาสหายมาก คนที่มาช้าเกินไปก็น่าเสียดาย โรคนี้เป็นยังไง เกิดจากอะไร วันนี้มีคำตอบค่ะ

อัมพฤกษ์ อัมพาต คืออะไร
อัมพาตหมายถึงอาการไม่มีแรง ขยับไม่ได้ ส่วนใหญ่หมายถึงแขนขา คือแขนขาไม่มีแรงอยากจะยกก็ยกไม่ได้ หรือแม้แต่ขยับ กระดิกนิ้วก็ยังทำไม่ได้

ส่วนอัมพฤกษ์ คืออาการอ่อนแรง ไม่ถึงกับขยับไม่ได้แบบอัมพาต แต่ว่าอ่อนแรง อาจพอขยับได้ แต่ยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นแต่หยิบจับอะไรไม่ได้ หยิบของขึ้นมาก็หล่นหลุดมือ เพราะว่าไม่มีแรงกำมือ

เกิดจากอะไร
ส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงอัมพฤกษ์ อัมพาต เรามักจะหมายถึงสาเหตุจากการที่สมองขาดเลือด แต่ความจริงแล้วก็มีหลายสาเหตุ ร่างกายของเรามีเส้นประสาทสั่งการเป็นขั้นๆ เหมือนสายไฟ นึกถึงนิ้วของเราถูกสั่งการจากสมอง เหมือนนิ้วเราเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งและต้องเสียบปลั๊กที่สมอง นิ้วทั้ง 5 นิ้ว และกล้ามเนื้อทุกมัดที่แขนมีปลั๊กคนละอัน สายไฟของมันวิ่งไปตามทางเดียวกันคือจากแขน ไปที่ไหล่ ไปที่กระดูกสันหลัง แล้ววิ่งตรงขึ้นสมอง ทุกส่วนของร่างกายมีระบบแบบนี้ มันวิ่งเข้าหาตัว ไปที่กระดูกสันหลัง แล้วตรงขึ้นสมอง การตัดขาดของปลัํกระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นที่ใดทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นๆ ทำงานไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นที่สมอง หรือกระดูกสันหลังก็ตาม

ทีนี้โรคที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตก็เลยเป็นได้ตั้งแต่ โรคที่สมอง อย่าง เส้นเลือดในสมองอุดตัน ทำให้สมองขาดเลือด เลือดออกในสมอง มะเร็งในสมอง เส้นเลือดโป่งพองในสมอง หรือเป็นโรคที่ไขสันหลัง (ซึ่งอยู่ในกระดูกสันหลัง) เช่น กระดูกสันหลังหัก กระดูกสันหลังเคลื่อน (ส่วนใหญ่จะเป็นจากอุบัติเหตุ) ติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง หรือไขสันหลัง เนื้องอกกระดูกสันหลัง หรือไขสันหลัง

แต่สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตคือ เส้นเลือดอุดตันในสมอง ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุนี้กันค่ะ

ทำไมเส้นเลือดถึงอุดตัน
ส่วนใหญ่เกิดจากลิ่มเลือดค่ะ เวลาที่เราอายุมากขึ้น ร่วมกับมีไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือความดันสูง ทำให้ตามผนังเส้นเลือดของเรามีไขมันมาเกาะ (แม้คนที่ไม่มีโรคประจำตัวเลย ก็มีเหมือนกันนะคะ) ลองนึกถึงท่อระบายน้ำที่ไม่เรียบ เส้นเลือดที่มีไขมันมาเกาะก็เป็นเช่นนั้น พอนานวันเข้าบริเวณที่ไม่เรียบนั้นจะเริ่มมีตะกอนมาพอกสะสม ใหญ่ขึ้นๆ ในเส้นเลือดเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน นานวันเข้าก็มีเม็ดเลือดและ สารต่างๆนานา มาช่วยกันพอกเป็นลิ่มเลือดบริเวณที่ไม่เรียบนั้น ทีนี้วันดีคืนดีเกิดเจ้าลิ่มเลือดที่พอกอยู่ที่หลอดเลือดเนี๊ย เกิด "หลุด" แล้วไหลไปตามกระแสเลือด

เส้นเลือดของเราจะใหญ่ต้นทาง และตีบลงปลายทาง เหมือนถนนเส้นใหญ่ค่อยๆซอยออกไปเป็นเส้นเล็กเรื่อยๆ จนถึงบ้านของเราก็เป็นถนนแคบๆ กลับมาที่ลิ่มเลือดที่หลุดออกมามันก็จะวิ่งไปตามกระแสเลือดจนถึงเส้นที่เล็กจนมัน "อุด" พอดี ความจริงแล้วเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้หลายที่ อาจจะเป็นที่หัวใจ ทำให้เกิดหัวใจขาดเลือด อาจจะเป็นที่ตา ทำให้จอประสาทตาขาดเลือด หรือเป็นตามปลายเท้าทำให้เกิดนิ้วขาดเลือดก็ได้ แต่ถ้าเป็นที่สมองก็จะเกิดเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั่นเอง

อาการจะเป็นยังไง
อาการก็คือเป็นอาการแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน อยู่ๆก็เป็นขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเป็นซีกเดียวของร่างกายเช่นขาขวากับแขนขวา หรือขาซ้ายกับแขนซ้าย (ถ้าเป็นทั้ง 2 ข้าง น่าจะเป็นจากอย่างอื่นค่ะ) บางทีอาจไม่ได้เป็นทั้งแขนแต่เป็นแค่มือถือของไม่ได้  กำแน่นไม่ได้ก็ได้  และบางคนจะมีอาการอื่นด้วยเช่น หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด กินน้ำแล้วน้ำไหลออกจากปาก หรือบางคนถ้าเป็นมากอาจมีอาการงง ซึม พูดไม่รู้เรื่อง หรือหมดสติได้

ต้องทำยังไง
ทันทีที่สังเกตเห็นอาการก็ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที ให้เร็วที่สุด เพราะสมองของเราถ้าขาดเลือดและเริ่มมีการตายแล้ว ส่วนที่เสียไปจะไม่สามารถกลับมาได้ แต่ถ้ายังไม่ตาย การให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำจะทำให้สมองส่วนนั้นฟื้นคืนมาได้

ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ใส่คอนแทคเลนส์ ต้องรู้

คอนแทคเลนส์ (Contact lens) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่มีสายตาสั้น แต่ไม่อยากใส่แว่น มาบดบังความสวยความหล่อของตัวเอง แถมตอนนี้ยังมีคอนแทคเลนส์ตาโต (Big eye) สำหรับคนที่ต้องการ"ความแบ๊ว"เป็นพิเศษอีกด้วย อย่างไรก็ตามอย่าลืมดูแลสุขภาพตาของเราด้วย มีหลายอย่างที่"ต้องรู้" ถ้าคิดจะใส่คอนแทคเลนส์ อย่างปลอดภัย มาอ่านกันค่ะ

ติดเชื้อ!!
ภัยร้ายที่พบได้บ่อยที่สุดจากการใส่คอนแทคเลนส์ก็คือการติดเชื้อที่กระจกตา เปรียบเทียบดวงตาของเราเหมือนกับกล้องถ่ายรูป ไม่ใช่ดิจิตอลธรรมดานะคะ แต่เป็นกล้องถ่ายรูปแบบโปร(Pro) เลยทีเดียว มีสามารถบันทึกรายละเอียด และปรับโฟกัสได้ชั้นเยี่ยม ความใสของกระจก และเลนส์ของกล้องก็สำคัญเหมือนกับความใสของกระจก และเลนส์ตาของเรา ขออธิบายก่อน กระจกตา = บริเวณตาดำของเรา ส่วนเลนส์ตา = วงดำๆ ตรงกลางตาดำของเรา ลองจ้องหน้ากระจกดูนะคะ ในตาดำของเราจะมีวงที่ดำกว่าอีกวงอยู่ตรงกลาง ถ้าฝรั่งตาสีฟ้าก็จะเห็นเลนส์ตาเป็นสีดำๆอยู่ตรงกลางตาสีฟ้า ความจริงแล้วทั้งเลนส์ตาและกระจกตาไม่ได้เป็นสีดำนะคะ แต่ว่าใสเหมือนกับเลนส์กล้องถ่ายรูปเลย เพียงแต่ว่าส่วนที่อยู่หลังต่อกระจกและเลนส์นั้นเป็นสีดำ เราก็เลยเห็นเหมือนกับว่ากระจกตา และเลนส์ตาของเราเป็นสีดำค่ะ

รู้มั๊ยค่ะว่าการที่กระจกตา  และเลนส์ตาของเราใสได้เนี๊ย ต้องอาศัยความสมดุลของการทำงานของเซลล์ และสารน้ำต่างๆในตาของเรา ถ้าเกิดมีตรงไหนที่ผิดปกติไปก็ทำให้ทางเดินของแสงที่เข้าสู่ตาเราขุ่นไป ก็จะมองไม่ชัด เหมือนมองผ่านกระจกฝ้าตลอดเวลา

contact lens, คอนแทคเลนส์, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
พูดเรื่องดวงตาไปเยอะ ก็แค่อยากให้เห็นว่าการมองเห็นมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งนะคะ ความสวยงามเป็นอันดับรอง ดังนั้นเราต้องใส่ใจเพื่อให้เราใช้คอนแทคเลนส์อย่างปลอดภัยต่อดวงตาของเราค่ะ

การติดเชื้อจากคอนแทคเลนส์ ส่วนใหญ่ก็เกิดมาจากคอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาดนั่นแหล่ะค่ะ การล้างคอนแทคเลนส์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เราควรแช่คอนแทคเลนส์ในน้ำยาที่ทำมาสำหรับคอนแทคเลนส์เท่านั้น และแช่ไว้นานพอที่แนะนำไว้บนขวด น้ำยาคอนแทคเลนส์เหล่านี้สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ ต่อเมื่อแช่ไว้นานพอค่ะ

นอกจากนั้นก็ไม่ควรใช้น้ำยานั้นซ้ำ ควรเปลี่ยนทุกครั้งที่ล้างคอนแทคเลนส์ เพราะถ้าเราแช่ไปแล้วรอบหนึ่งประสิทธิภาพของมันจะหมดไปค่ะ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรเปลี่ยนด้วยคือ "กล่องใส่คอนแทคเลนส์" ควรเปลี่ยนใหม่ทุก 3- 6 เดือนด้วยเหมือนกันนะคะ

ใส่คอนแทคเลนส์ว่ายน้ำ??
ในน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ น้ำจืดน้ำเค็ม ทะเล น้ำตก ทะเลสาบ เขื่อน ล้วนแต่มีเชื้อโรคอยู่ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่ผสมคลอรีนแล้วก็ตาม เวลาที่ดวงตาที่มีคอนแทคเลนส์ ลงไปสัมผัสกับน้ำ จะทำให้มีน้ำเข้าไปขังอยู่ในช่องว่างระหว่างตาของเรากับคอนแทคเลนส์ ตรงนี้แหละค่ะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี พอเราขึ้นจากน้ำ ไปอาบน้ำแต่งต้ว อาจจะไปปาร์ตี้ กินข้าว ต่อตอนเย็น กว่าจะได้ถอดคอนแทคเลนส์ก็เข้านอน เชื้อโรคที่ไปนอนสบายอยู่ระหว่างตาของเรากับคอนแทคเลนส์ก็จะเริ่มออกหากิน ทำให้กระจกตาของเราเป็นแผล และขุ่นได้ เราก็จะมีอาการตาแดง แสบตา ปวดตา สู้แสงไม่ได้ เคืองตา มีน้ำตาไหลมาก ขี้ตามาก จุดนี้ก็คงต้องไปหาหมอตาแล้วหล่ะค่ะ

ใส่คอนแทคเลนส์นอน??
ส่วนต่างๆของร่างกายเราต้องการอาหาร ปกติแล้วทุกส่วนบนร่างกายของเราจะมีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยง คอยส่งน้ำ ส่งอาหาร และออกซิเจนให้กับอวัยวะต่างๆของเรา แต่กระจกตาของเราเป็นอวัยวะที่ไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง ทั้งๆที่มันก็มีชีวิต ต้องการสารอาหารและก๊าซออกซิเจนเหมือนกับอวัยวะอื่นๆ แต่ที่มันไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงเพราะว่าต้องการคงความใสของมันไว้ คำถามคือแล้วกระจกตาเอาอาหารมาจากไหน คำตอบคือ จาก"น้ำตา"ที่เคลือบผิวกระจกตา ความจริงแม้เราไม่ร้องไห้ ตาของเราก็มีน้ำตามาหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เรากระพริบตา ไม่เชื่อลองบังคับตัวเองไม่ให้กระพริบตาซัก 1 นาทีซิค่ะ ตาจะแห้งทนไม่ไหวเลยทีเดียว

ก๊าซออกซิเจนในอากาศละลายลงในน้ำตา แล้วกระจกตาก็ค่อยเอาไปใช้ แต่พอเราใส่คอนแทคเลนส์ปั๊บ ทีนี้น้ำตาที่อยู่ตรงกระจกตาก็ไม่สัมผัสกับอากาศ เรียกว่าเลนส์ตาก็เกิดการขาดอากาศหายใจ (เริ่มน่ากลัว) แต่ที่เราใส่คอนแทคเลนส์กันแล้วไม่เป็นอะไรเพราะว่าเรามีการ"กระพริบตา" ช่วยไล่เอาน้ำตาเก่าใต้คอนแทคเลนส์ออก ให้น้ำตาใหม่ที่สัมผัสกับอากาศแล้วเข้ามาแทนที่ (เฮ่อ รอดไป)

แต่ !! ปัญหาคือ การที่เราใส่คอนแทคเลนส์ตอนนอนเนี๊ย เรา"ไม่กระพริบตา" ดังนั้นมีความเป็นไปได้มากที่กระจกตาของเราจะขาดอากาศหายใจ ถ้าเราใส่คอนแทคเลนส์ตอนเรานอน ทำให้เลนส์ตาของเราขุ่นขึ้นได้ ก็เลยเป็นที่มาว่าเราไม่แนะนำให้ใส่คอนแทคเลนส์เวลานอนค่ะ

สุดท้าย ถึงแม้ว่าเราจะมีการกระพริบตาอยู่ตลอด แต่เวลาใส่คอนแทคเลนส์ ก็ยังทำให้กระจกตาได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอได้ ควรพักด้วยการใส่แว่นบ้างบางวัน เพื่อให้กระจกตาของเราได้พักบ้างค่ะ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถึงจะเป็นแค่หน้าต่าง แต่ก็ต้องการการดูแลนะคะ

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ข้อเข่าเสื่อม ทำยังไงดีนะ

มีคนมากมายที่มาหาหมอเพราะอาการปวดเข่า โดยเฉพาะคนที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หลายคนหวังว่าหมอจะมียาที่ช่วยรักษาอาการปวดเข่าได้ และหลายคนก็ได้คำตอบกลับไปว่าเป็น "โรคเข่าเสื่อม" มันเป็นความเสื่อม เราไม่สามารถรักษาให้หายได้ี้ นอกจากผ่าเปลี่ยนเข่าไปเลย วันนี้จะมาขยายความให้มากขึ้น สำหรับคนที่กำลังมีปัญหานี้ค่ะ

โรคนี้เกิดจากอะไร
ก็อย่างที่ได้บอกไป โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นโรคของความ"เสื่อม" (ไม่ใช่เสื่อมเสียอะไรนะคะ) เหมือนกับรถที่ขับทุกวัน เมื่อถึงเวลามันก็ต้องเก่า จะวิ่งก็คงไม่ได้เร็ว ไม่ได้คล่องตัว และไม่ได้เงียบเท่าตอนถอยออกมาเป็นป้ายแดงใหม่ๆ

ข้อของเราเป็นจุดเชื่อมต่อของกระดูก 2 ชิ้นเข้าด้วยกัน โดยมีกระดูกอ่อนคั่นกลาง เพื่อป้องกันกระดูกสึกกร่อนเวลาที่โดนแรงกระแทก หรือเวลาที่มันเสียดสีกัน แต่เวลาที่เราเดินอยู่ทุกวัน ขยับมันทุกวัน กระดูกอ่อนนี้ก็มีการสึกกร่อนเหมือนกัน จนกระทั่งมันบางมาก และมีกระดูกบางส่วนเสียดสีกันในที่สุด อันนี้แหละค่ะก็จะเริ่มมีอาการของข้อเข่าเสื่อม

อาการของข้อเข่าเสื่อม
ส่วนใหญ่มักจะเริ่มเป็นที่เข่าสองข้าง อาจมีข้างหนึ่งเป็นมากกว่าอีกข้างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีการเสื่อมในเวลาไล่เลี่ยกัน อาการคือปวดเข่าเวลาที่เดิน เวลาที่ลงน้ำหนัก เวลานั่งเฉยๆ มักจะไม่เป็นอะไร ยกเว้นนั่งในท่าที่ต้องพับเข่ามากๆอย่างนั่งคุกเข่า นั่งกับพื้น เป็นต้น อาการปวดมักจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ได้มาปุบปับ บางคนหลายเดือน บางคนหลายปี ค่อยๆเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งสำคัญคือ ถ้ามีอาการอื่น อย่างเช่นการอักเสบคือ ข้อที่ปวดผิวหนังด้านนอกที่แดง และร้อน และเริ่มเป็นในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ อันนี้ต้องระวัง เพราะอาจเป็นสาเหตุจากโรคอื่นก็ได้ แต่ถ้าไม่มั่นใจ จะไปพบหาหมอ ให้ช่วยตรวจยืนยันก็ได้ค่ะ

เป็นแล้วต้องทำยังไง
ถ้าปวดมากสามารถซื้อยามาทา มานวด บรรเทาอาการได้ หรือจะซื้อยาแก้ปวดอย่าง พาราเซตมอล (ที่ชอบเรียกกันว่า ไทลินอล) มาทานก่อนได้ ยากินตัวอื่นไม่ค่อยแนะนำเพราะว่าถ้ากินต่อเนื่องระยะยาวอาจเกิดปัญหาได้ (ลองอ่านบทความเก่าเกี่ยวกับยาแก้ปวดดูได้ค่ะ) แต่นี่เป็นการรักษาจากปลายเหตุ เมื่อยาหมดฤทธิ์ โดยปกติก็จะกลับมาปวดเหมือนเดิมค่ะ

นอกจากนี้ก็จะมีการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพือให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้แข็งแรง จะช่วยพยุงข้อเข่าไว้ ลดอาการปวดได้ วิธีคือนั่งเก้าอี้ หลังตรง แล้วเหยียดเข่าออก ค้างไว้ 10 วินาที แล้ววางลง สลับกันไปมาแบบนี้ทั้งสองข้าง ข้างละ 30-40 ครั้งเลยนะคะ ทำไปเรื่อยๆจะช่วยลดอาการปวดเข่าได้ อันนี้เรียกว่า  Quadriceps exercise ค่ะ
osteosrthritis, ข้อเข่าเสื่อม, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

ต่อมาที่ช่วยได้มากคือการลดน้ำหนัก เมื่อส่วนหนึ่งที่เข่าเสื่อมเกิดจากการรับน้ำหนักที่มากมาตลอดชีวิตของเราค่ะ การลดน้ำหนักก็จะทำให้อาการปวดลดลง

สุดท้ายถ้าไปพบแพทย์ ก็อาจจได้ยามาทาน เป็นยากลุ่ม NSAID ต้องระวังในคนสูงอายุ และคนที่เป็นโรคไต และถ้ากินระยะยาวควรกินยาลดกรดในกระเพาะอาหารร่วมไปด้วย เพราะยานี้กัดกระเพาะได้ค่ะ บางครั้งอาจได้รับการฉีดขาเข้าข้อ อันนี้ช่วยบรรเทาอาการได้นานขึ้น อาจหลายวัน หรือหลายสัปดาห์ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาปวดเหมือนเดิม ปัญหาคือการฉีดขาเข้าข้อมากเกินไปจะทำให้กระดูกอ่อน และิเอ็นในข้อยิ่งบางลง เป็นอันตรายมากขึ้นได้นะคะ

และถ้าไม่ไหวจริงๆ คือปวดมาก และมีข้อเข่าผิดรูปร่วมด้วยก็สามารถผ่าตัดเปลี่ยนเข่าได้ ทั้งควรปรึกษาหมอศัลยกรรมกระดูกดูนะคะ และชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ของการผ่าตัด และความเสี่ยงจากการผ่าตัดค่ะ ว่าจะคุ้มมั๊ย กับความเสี่ยงต่างๆค่ะ

ขาและเท้าเป็นพาหนะที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นบนโลกค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถุงลมโป่งพอง โรคร้ายจากบุหรี่

ไม่รู้ว่ามีใครเคยท่องเหมือนดิฉันมั๊ยสมัยเด็กๆว่า โทษของการสูบบุหรี่คือการเป็นโรค "ถุงลมโ่ป่งพอง" ซึ่งก่อนจะมาเรียนหมอ ก็ไม่แน่ใจว่ารู้จักโรคถุงลมโป่งพองดีแค่ไหน แล้วมันไม่ดียังไง(ถุงลมก็ต้องโป่งพองจริงมั๊ยค่ะ ไม่งั้นจะเรียกว่าถุงลมทำไม 55) วันนี้เลยอยากมาเล่าขยายความสำหรับสิงอมควันทั้งหลายค่ะ

ถุงลมโป่งพอง, โทษของบุหรี่, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
โรคถุงลมโป่งพองคืออะไร 
ในปอดของเราประกอบไปด้วยถุงลมเล็กๆจำนวนมาก เหมือนกับลูกโป่งใบเล็กๆจำนวนมากในปอดของเรา ถุงลมพวกนี้มีหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซของเสีย(คาร์บอนไดออกไซด์) ให้เป็นของดี(ออกซิเจน) เพื่อให้เลือดมารับออกซิเจนไปใช้ 

เดิมทีถุงลมของเราเป็นเหมือนลูกโป่ง พอสูบลมเข้าก็พอง ปล่อยลมออกก็ยุบ พองๆยุบๆ เพื่อให้ก็าซเสียออก ก็าซดีเข้าไป แต่ภาวะถุงลมโป่งพอง เกิดจากการที่ถุงลมของเราเสียความยืดหยุ่นไป เหมือนกับถุงพลาสติกเราสูบลมก็พองจริง แต่พอตอนปล่อยลมนี่สิ พอเปิดปากถุงก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถุงพลาสติกไม่ได้หดตัวเพื่อไล่ลมออกเลย ก็าซเสียก็เลยยังคงค้างอยู่ตรงนั้น ก็าซดีก็เข้าไม่ได้ เหมือนกับถุงลมส่วนนั้นเลิกทำงานไปเพราะมันพอง แต่ไม่ยุบ ก็เลยเรียกว่าโรค"ถุงลมโป่งพอง"

ในคนที่สูบบุหรี่ สารพิษในบุหรี่เข้าไปทำลายความยืดหยุ่นของถุงลมเหล่านี้ ไม่ใช่แค่อันสองอัน แต่หลายอันมาก จนในที่สุดเหมือนกับมีส่วนของปอดที่ยังพอยืดหยุ่นทำงานได้จริงแค่บางส่วนเท่านั้น บางคนเหลือไม่ถึงครึ่งของปกติ เพราะฉะนั้นการหายใจแลกเปลี่ยนก็าซของเราหนึ่งครั้ง ก็จะกลายเป็นสอง ในคนที่เป็นถุงลมโป่งพอง ก็คงไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหายใจหอบตลอดเวลา แค่หายใจไปเรื่อยๆก็เหนื่อยแล้ว เหมือนเราวิ่งจนเหนื่อยแล้วต้องหายใจหอบแฮ่กตลอดทั้งวันไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดิน ทรมานน่าดูเลยนะคะ

อาการของโรคถุงลมโป่งพอง
ส่วนใหญ่จะสูบบุหรี่จัดๆมาก่อน และเป็นเวลานานหลายสิบปี อาการส่วนใหญ่ก็จะมีไอมีเสมหะเรื้อรังอยู่ตลอด ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อยๆ หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย หอบ บางครั้งหายใจมีเสียงดังวี๊ดๆอยู่ในคอ อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่คนไข้จะไม่ค่อยได้สังเกต เพราะว่าจะค่อยๆเป็น เป็นมากขึ้นเรื่อยๆถ้ายังคงสูบบุหรี่อยู่เรื่อย 

บางครั้งจะมีอาการกำเริบของโรคถุงลมโป่งพอง คล้ายๆอาการกำเริบของหอบหืด คือมีอาการหอบหนักขึ้นแบบเฉียบพลัน หายใจไม่ทัน ซึ่งหากไม่รีบนำส่งโรงพยาบาลอาจหายใจไม่ทันจนสมองขาดออกซิเจน (ขาดอาการเหมือนคนจมน้ำเลยค่ะ) สามารถหมดสติและถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว

ถ้าเป็นแล้ว ควรทำอย่างไร
อันดับแรก "เลิก"เลยค่ะ "เลิกสูบบุหรี่" พอเลิกปุ๊บปอดอาจจะไม่ได้กลับมาดีเท่าเดิมได้ แต่อย่างน้อยก็จะไม่ทรุดไปกว่าเดิมค่ะ เพราะว่าเนื้อปอดที่เสียไปแล้ว ถือว่าเสียไปเลย ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้แล้วนะคะ

ถ้ามีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่ค่อยทัน ติดเชื้อบ่อยๆ ก็ควรได้ยาพ่นเป็นยาขยายหลอดลม พ่นเป็นประจำเพื่อให้หลอดลมขยาย หายใจสะดวกขึ้น นอกจากนี้ก็จะมีกายภาพบำบัด เพื่อให้ช่วยเราขับเสมหะได้ดีขึ้น เพราะว่าสารพิษจากบุหรี่ไปทำลายเซลล์เยื่อบุของหลอดลม ทำให้การกำจัดเสมหะ และสารอุดตันต่างๆไม่ดีด้วยค่ะ และรักษาร่างกายอย่าให้เกิดการติดเชื้อบ่อยๆ เพราะว่าคนไข้กลุ่มนี้เวลาที่มีการติดเชื้อ อาการจะหนักกว่าคนทั่วไปที่ติดเชื้อค่ะ และถ้ามีอาการกำเริบควรไปโรงพยาบาลโดยเร็วค่ะ

เลิกบุหรี่กันเถอะคะ่ นอกจากถุงลมโป่งพองแล้ว ยังมีโรคอีกมากมายที่บุหรี่จะเอามาเป็นของแถม


วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคเก๊าท์

โรคเก๊าท์ (Gouty Arthritis) หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของโรคนี้มาก่อน และบางคนปวดข้อนิดๆหน่อยๆก็เริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคเก๊าท์ หรือบางคนก็บอกว่าตัวเองเป็นโรคเก๊าท์ไปเลยทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นจริงๆรึเปล่า วันนี้อยากมาอธิบายให้ความกระจ่างชัดว่า "โรคเก๊าืท์" เนี๊ยจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่???

อะไรคือโรคเก๊าืท์
โรคเก๊าท์เกิดจากการสะสมของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า "กรดยูริก" สารนี้ปกติก็จะมีอยู่แล้วในกระแสเลือด แต่ในคนที่เป็นโรคเก๊าท์จะมีกรดยูริกสะสมอยู่ในข้อมากผิดปกติ และก่อให้เกิดการอักเสบที่ข้อตามมา (อักเสบ= ปวด บวม แดง ร้อน)

อาการแบบไหน น่าจะเป็นโรคเก๊าท์
โรคนี้ส่วนใหญ่จะพบในผู้ชายวัยกลางคน หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็มักจะเป็นวัยหลังหมดประจำเดือนค่ะ ส่วนอาการก็อย่างที่ทุกคนเข้าใจ โรคเก๊าท์จะมีอาการปวดข้อ แต่ไม่ใช่ปวดข้อธรรมดานะคะ ปวดแล้วข้อที่ปวดนั้นจะต้องมีลักษณะบวม แดง และร้อนด้วย นั่นคือมีการอักเสบของข้อนั้นนั่นเอง แต่ถ้าปวดๆ เป็นมากเวลาลงน้ำหนัก อันนั้นก็อาจจะไม่ใช่นะคะ แล้วข้อที่ปวดของโรคเก๊าท์ ช่วงเริ่มแรกใหม่ๆมักจะเป็นข้อเดียว พบมากที่สุดคือข้อนิ้วโป้งที่เท้า หรือข้อเท้า ความจริงแล้วอาการปวดข้อนี้แม้จะปวดมาก แต่สุดท้ายจะหายได้เองภายในช่วงไม่เกิน 2 สัปดาห์ และก็อาจจะกลับมาเป็นใหม่ได้อีก โดยอาจเป็นที่ข้ออื่น หรือข้อเดิมก็ได้ และหายได้เองเหมือนเดิม เป็นๆหายๆอยู่อย่างนี้ เรียกว่ามีช่วงที่โรคกำเริบ และโรคสงบ
gouty arthritis, โรคเก๊าท์, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รรู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

สำหรับโรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษา หรือไม่กินยา ไม่ควบคุมอาหาร(เรื่องอาหารเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกทีนะคะ) ทิ้งไว้นานๆช่วงที่กำเริบมักเป็นหลายข้อมากขึ้น อาจย้ายมาที่ข้อมือ ไหล่ ได้ และอาจเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ นอกจากนั้นช่วงที่โรคสงบก็จะทิ้งร่องรอยเป็นปุ่มนูนแข็งๆ เหมือนกระดูกงอกขึ้นมาตามข้อได้

เวลาไปพบแพทย์ การวินิจฉัยนอกจากจะใช้การเอ็กซเรย์ข้อที่ปวดแล้ว อาจจะต้องเจาะข้อ โดยใช้เข็มเล็กๆดูดน้ำออกมาก เจ็บอยู่บ้างตอนฉีดยาชา แต่เพื่อเป็นการยืนยันการวินิจฉัยว่าถูกต้องค่ะ

รักษายังไง
การรักษาเริ่มแรกก็เป็นเรื่องอาหาร ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้โรคเก๊าท์กำเริบ ได้แก่ เบียร์ เครื่องใน สัตว์ปีกอย่าง ไก่ เป็ด ห่าน และยอดผัก คำว่า"ยอดผัก" เนี๊ยหมายถึงส่วนของพืชที่อ่อนๆ กำลังเจริญเติบโต อย่าง ข้าวโพดอ่อน ยอดผักทุกชนิด ถั่วงอก เป็นต้น การกินอาหารที่ว่ามานี้นอกจากจะทำให้โรคเก๊าท์รักษายากแล้ว มักกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของโรคด้วย

การกินยา ยาที่ว่านี้เป็นยาควบคุมกรดยูริกในเลือด ให้อยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีการสะสมของกรดยูริกที่ข้อน้อยลง ต้องกินยาให้สม่ำเสมอ และบางทีอาจจะต้องกินยากันไปตลอดชีวิตเลยนะคะ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะกินยาแล้ว แต่การงดอาหารที่กรดยูริกมากก็เป็นสิ่งที่ต้องทำนะคะ

ส่วนคนที่ไปตรวจร่างกายประจำปีแล้วเจอว่ามีกรดยูริกสูงในเลือด แต่ไม่เคยมีอาการปวดข้อเลย ก็ยังไม่ต้องกินยาค่ะ และยังไม่ได้เป็นโรคเก๊าท์ ถ้าปวดข้อแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีกัน ถ้าสบายดีอยู่ก็ไม่ต้องกังวลเลยคะ่

การไม่ต้องไปหาหมอ เป็นลาภอันประเสริฐค่ะ สวัสดีค่ะ



วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคหัวใจขาดเลือด(แต่ไม่ขาดรัก)

หลายคนคงจะพอรู้อยู่บ้างว่าโรคแต่ละโรคมีความรีบด่วนเร่งด่วนไม่เท่ากัน บางโรคทนๆไปก็หายเองได้ บางโรคเป็นมากๆค่อยรักษาก็ได้ แต่บางโรคแม้อาการยังไม่มากช่วงแรกแต่ทรุดลงเร็ว บางโรคการไปพบแพทย์เร็ว หมายถึงโอกาสหายที่มากขึ้น และบางโรคอาการอาจจะมาก แต่การล่าช้าแม้ไม่กี่นาทีก็อาจถึงชีวิตได้ วันนี้จะมาพูดถึงโรคๆหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ถ้าเราเป็นไม่มากก็อาจไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นมาก โรคนี้สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ทีเดียว โรคที่พูดถึงนี้คือ โรค"หัวใจขาดเลือด"

ทำไมหัวใจถึงขาดเลือด
ปกติหัวใจของเรามีเส้นเลือดใหญ่ๆมาหล่อเลี้ยงอยู่ 3 เส้น แต่ถ้ามีอะไรมาอุดตันก็จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ สิ่งที่มีอุดส่วนใหญ่ก็จะเป็นเหล่าไขมันที่มาเกาะตามผนังเส้นเลือด ถามว่าแล้วไขมันนี้มาจากไหน คำตอบคือสามารถมีได้ในทุกๆคน เมื่อเราอายุมากขึ้น เพียงแต่ว่าจะมากจะน้อย ก็ขึ้นกับแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การออกกำลังกาย โรคประจำตัวอย่างเบาหวาน ไขมัน ความดันเลือดสูง ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไขมันพอกตามผนังเส้นเลือดมากขึ้นทั้งนั้น และยิ่งถ้าเป็นผนังเส้นเลือดที่หัวใจแล้้ว ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มขึ้น

ลองนึกถึงกล้ามเนื้อก้อนหนึ่งในร่างกาย ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น แต่มีหน้าที่บีบส่งเลือดให้ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อนี้ทำงานทุกวัน ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (อย่างกับ เซเว่นอีเลฟเว่น) ไม่เคยหยุดพัก ไม่ใช่ตั้งแต่คุณเกิดนะ ความจริงมันเริ่มทำงานตั้งแต่คุณอยู่ในท้องของคุณแม่ด้วยซ้ำไป ดังนั้นมันเป็นกล้ามเนื้อที่ต้องการพลังงานตลอดเวลา เกิดโดนตัดท่อส่งอาหาร ซึ่งก็คือหลอดเลือดของเรา กล้ามเนื้อบางส่วนนั้นจะตายไปภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ทำให้การบีบตัวของมันแย่ลง และถ้ามันเป็นมากพอหัวใจของเราก็อาจจะหยุดเต้นไปเลยก็ได้ (เริ่มฟังดูน่ากลัวใช่มั๊ยค่ะ)

อาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นยังไง
อาการหลักๆคืออาการเจ็บหน้าอก อาจจะตรงกลาง หรือค่อนไปทางด้านซ้ายก็ได้ แต่ลักษณะอาการเจ็บจะเป็นอาการปวดแบบแน่นๆ "แน่นเหมือนมีอะไรมาทับไว้" (ถ้าเป็นเจ็บแบบจี๊ดๆ หรือบีบๆ หรือเจ็บตามการหายใจ มักจะเป็นอาการของโรคอื่นมากกว่าค่ะ) และมักจะร้าวไปตามแขนข้างซ้าย หรือกรามด้านซ้าย โดยทั่วไปมักจะเป็นสัมพันธ์กับการออกกำลัง หรือทำงาน แต่บางคนก็อาจเป็นขึ้นมาเฉยๆทั้งที่นั่งพักอยู่ก็มี

อาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมีความรุนแรง 3 ระดับ แบ่งตามอาการคร่าวๆก็คือ

ระดับเบาสุด อันนี้มีการตีบของเส้นเลือดอยู่ แต่โชคดีที่เป็นเส้นเลือดปลายๆ ที่เลี้ยงหัวใจบริเวณเล็กๆ อาจมีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจบางส่วน แต่เป็นส่วนน้อย ระดับนี้เหมือนคนถูกลดเงินเดือน ยังพออยู่ได้ แต่ไม่ได้อิ่มหนำสำราญ มีความสุขแบบที่เคยมีในกลุ่มนี้จะมีอาการเจ็บหน้าอกเฉพาะเวลาที่ต้องทำงานหนักๆ หรือมีความเครียด บางคนบอกได้ว่าเดินขึ้นบันไดหนึ่งชั้นก็จะเจ็บหน้าอก หรือเหนื่อยมาก ต้องพักระหว่างชั้น เป็นต้น แต่ในภาวะปกติก็ยังปกติสบายดีอยู่ กลุ่มนี้ควรไปพบแพทย์ แต่ไม่ได้เร่งด่วนมากนักค่ะ คนส่วนใหญ่จะพลาดอาการนี้ไป เพราะว่าถ้าอาการนี้เกิดกับคนแก่ ก็ชอบคิดว่า "แก่แล้วก็เหนื่อยง่ายแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา" 

ระดับกลาง อันนี้มีกล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นบริเวณที่ใหญ่ขึ้น เหมือนคนตกงานไม่มีเงินเดือน ก็จะเริ่มไม่มีเงินที่จะใช้จ่าย อาการก็จะเจ็บหน้าอกในลักษณะที่ได้กล่าวมา แต่ว่าเป็นแม้ว่าจะนั่งพัก ก็ยังไม่หาย หนำซ้ำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่คนไข้กลุ่มนี้จะไปพบแพทย์ค่อนข้างเร็ว เพราะรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้ ปวดมาก

ระดับรุนแรง กลุ่มนี้เหมือนตกงาน และยังมีหนี้สินด้วย  (เปรียบเทียบไม่ค่อยเป็นมงคล แต่ก็เห็นภาพดีนะคะ อย่าถือสากันเลยค่ะ) คือมีการตีบของเส้นเลือดอาจจะตั้งแต่ต้นทาง หรือเป็นหลายๆเส้นพร้อมกัน ทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดเป็นบริเวณกว้าง ถ้ายังมีสติบอกได้ จะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างมาก จนทนไม่ไหว หอบเหนื่อย หายใจไม่ทัน แต่บางคนอาจหมดสตินิ่งไปเฉยๆ หรือเสียชีวิตทันทีก็มี

แล้วต้องทำยังไง
ง่ายมากค่ะ ถ้าไม่มั่นใจให้รีบไปพบแพทย์ทันที ความจริงแล้วก็มีอยู่หลายโรคที่มีอาการเจ็บหน้าอกได้เช่น โรคกระเพาะ โรคกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบ โรคติดเชื้อปอด หรือปวดกล้ามเนื้อทั่วๆไป แต่อาการเจ็บจะเป็นคนละแบบ คือมักจะเจ็บจี๊ดๆ หรือบีบๆ หรือเจ็บเวลาหายใจเข้ามากๆ ไม่เหมือนกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่เจ็บเหมือนมีอะไรมาทับ แต่ถ้าไม่มั่นใจและมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือดอยู่แล้ว เช่นเป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันเลือดสูงอยู่เดิม ก็ควรรีบไปพบแพทย์ค่ะ
โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคหลอดเลือดหัวใจ, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

การรักษาทางการแพทย์ส่วนใหญ่ถ้าตรวจคลื่นหัวใจ และผลเลือดยืนยันว่าเป็นโรคนี้จริงก็จะต้องนอนโรงพยาบาล ได้ยาทางหลอดเลือดดำ หรือต้องเข้าห้องผ่าตัด เพื่อทำการใส่สายสวนฉีดสี และทำบอลลูนเส้นเลือด ถามว่า"ฉีดสี และบอลลูนเส้นเลือด" คืออะไร??? อธิบายง่ายๆคือเหมือนเวลาท่อตันแล้วต้องทะลวงท่อค่ะ ทางการแพทย์เราจะสอดสายลวดเล็กๆไปตามหลอดเลือดโดยเข้าทางหลอดเลือดที่ขา สายลวดที่ว่านี้จะมีลูกโป่งที่หุบอยู่ตรงปลาย เมื่อไปถึงส่วนที่ตีบแล้วก็จะกางบอลลูนออกเพื่อทะลวงให้เส้นเลือดนั้นโล่ง หายจากการตีบค่ะ แต่อย่างไรก็ตามคนที่จะได้ทำสอดสายสวนเส้นเลือดหัวใจเนี๊ยจะต้องเป็นรายที่เข้าข่ายทำได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษานะคะ

ป้องกันยังไง 
ฟังดูแล้วน่ากลัว ถ้าไม่อยากเป็นก็ อย่ากินอาหารมันๆ หรืออาหารไขมันสูง หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูงๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจเลือดประจำปีทุกปี และถ้าเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือไขมันสูง ก็ควรกินยาควบคุมโรคอย่างสม่ำเสมอค่ะ

ป้องกันดีกว่าแก้ แย่แล้วแก้ไม่ทันค่ะทุกท่าน สวัสดีค่ะ

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

โรคที่เราเป็นต้องไปหาหมอด้านไหนนะ?? 2

ปัจจุบันนี้ใครๆก็อยากรักษากับหมอเฉพาะทาง ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคที่ตัวเองมากที่สุด แต่ว่ารู้กันรึยังค่ะว่าโรคที่เราเป็น ต้องไปหาหมอที่เฉพาะทางด้านไหน ครั้งที่(โรคที่เราเป็นต้องไปหาหมอด้านไหนนะ)แล้วเราได้เล่าไปแล้วเรื่องสาขาหลักทางการแพทย์ 4 สาขาคือ อายุรกรรม ศัลยกรรม สูตินรี และกุมาร วันนี้เราจะมาพูดถึงสาขาย่อยอีกมากมายกันต่อค่ะ
specialist, แพทย์เฉพาะทาง, diary doctor is me

โสต ศอ นาสิก
ชื่อ "โสต ศอ นาสิก" อาจจะูดูเป็นราชาศัพท์ไปซักนิดนึง ชื่อบ้านๆก็คือ "หู คอ จมูก" นั่นเอง สาขานี้รักษาอะไร ก็ตรงตัวตามชื่อเลย หู คอ และจมูก คำว่า "หู" ก็เหมาตั้งแต่ใบหูไปจนถึงหูชั้นใน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับอาการเวียนหัวบ้านหมุนด้วย ดูไม่ค่อยเกี่ยวกับการได้ยิน แต่เป็นโรคของหูชั้นในเลยทีเดียว "คอ" ไม่ได้หมายถึงคอข้างนอกนะคะ แต่หมายถึงกล่องเสียงข้างในคอ รวมไปถึงหลอดอาหารด้วย "จมูก" ก็รวมทั้งจมูกและโพรงจมูก สาขานี้มีการรักษาทั้งผ่าตัด และไม่ผ่าตัดค่ะ

จักษุวิทยา
ก็คือ"หมอตา" นั่นเอง แต่หมอตาเขาไม่ได้รับตัดแว่นกันนะเธอ ตัดแว่นเป็นหน้าที่ของช่างเทคนิคเกี่ยวกับสายตา แต่หมอตารักษาโรคตาพวกต้อ การติดเชื้อของลูกตา ทำเลสิก ฯลฯ มีการรักษาทั้งผ่าตัด และไม่ผ่าตัดเหมือนกันค่ะ

ออโธปิดิกส์ุ
ก็คือ "หมอกระดูก" นั่นเอง อะไรที่เกี่ยวกับกระดูก และข้อ โดยเฉพาะที่รักษาด้วยการผ่าตัด จะเป็นของสาขานี้ทันที นอกจากนี้หมอกระดูกก็ยังดูแลเรื่องเส้นเอ็นด้วย เช่นข้อล็อค ข้อยึด 

เวชศาสตร์ฟื้นฟู
สาขานี้ตามชื่อคือ "ฟื้นฟู" หลายคนจะรู้จักในฐานะ"กายภาพบำบัด" อย่างนักกายภาพบำบัดที่นวด หรือสอนผู้ป่วยอัมพาตให้เดินเนี๊ย ก็ถือว่าอยู่ในสาขานี้ แต่อยู่ใต้การควบคุมของหมอสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟูนะคะ สาขานี้ก็จะเป็นการ"ฟื้นฟู" สิ่งที่เสื่อมสภาพ เช่นเป็นอัมพฤกษ์ อ้มพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือมีภาวะปวดจากกล้ามเนื้อ หรือผิวหนังมาก รวมไปถึงการเลือกอุปกรณ์สำหรับคนพิการอย่างไม้เท้า รถเข็น ก็เป็นของสาขานี้ค่ะ

จิตเวช
สาขานี้ทุกคนก็รู้จักในฐานะ หมอที่รักษา"โรคจิต" หรือเรียกแบบบ้านๆจริงก็คือ "คนบ้า" ความจริงแล้วสาขานี้ก็ครอบคลุมภาวะทางจิตที่ผิดปกติ ประสาทหลอน โรคซึมเศร้า รวมไปถึงการบำบัดคนไข้ที่ติดยา ติดบุหรี่ ติดสุราด้วย

วิสัญญี
สาขานี้ก็อยู่คู่กับศัลยกรรมเลยทีเดียว เพราะการผ่าตัดเกือบทุกครั้งจะต้องมีการใช้ยาสลบ ยานอนหลับ หรือยาที่ทำให้ชา เพื่อให้สามารถผ่าตัดได้ หมอวิสัญญี หรือชื่อเล่นเรียกกันว่า "หมอดมยา" นอกจากจะมีหน้าที่ดมยาสลบแล้ว ก็มีหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาภาวะเจ็บปวดหลังผ่าตัด และอาการเจ็บปวดเรื้อรังด้วย

รังสีวิทยา 
ว่าด้วยเรื่องการถ่ายภาพทางการแพทย์ ทุกๆเทคนิค คุณหมอสาขานี้จะเชี่ยวชาญ ทั้งดูแลการถ่ายภาพ (x-ray ) แปลผลภาพที่ได้มาไม่ว่าจะเป็น เอ็กซเรย์, เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์, เอ็กซเรย์ฉีดสี เอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็ก ฯลฯ นอกจากการถ่ายภาพทางการแพทย์แล้ว รังสีวิทยายังรวมไปถึงการฉายแสงรักษามะเร็งต่างๆด้วย


เวชศาสตร์ฉุกเฉิน
เป็นสาขาที่คุมห้องฉุกเฉินโดยเฉพาะ ความจริงแล้วสาขานี้ไม่ได้เชี่ยวชาญการรักษาโรคหรึ่งโรคใดโดยเฉพาะ แต่ว่าเชี่ยวชาญการดูแลประคับประคอง และช่วยชีวิตผู้ป่วยเบื้องต้นในภาวะฉุกเฉิน ก่อนที่จะวลส่งต่อผู้ป่วยให้กับแพทย์เฉพาะทางตามโรคที่ผู้ป่วยเป็น

จบเรื่องราวของแพทย์เฉพาะทางตรงนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่อยากเสริมคือ "หมอฟัน" เนี๊ย เขาแยกออกไปจากคณะแพทย์ เป็นสาขาของตัวเองนะคะ ไม่ได้เป็นแพทย์เฉพาะทางใดๆค่ะ แต่เรียนเป็นอีกคณะเลย อย่าสับสนกันนะคะ สวัสดีค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ถูกหมากัดแล้ว ไม่แคล้วต้องโดนฉีดยา

วันนี้ชื่อหัวข้ออาจจะดูเป็นภาษาโบราณไปนิดหน่อย แต่ความจริงก็เป็นอย่างงั้นจริงๆนะคะ (T.T) เวลาที่เราถูกสุนัขกัด หรือบางคนแม้แต่ถูกน้้ำลายของมัน ก็เริ่มมีความสงสัยขึ้นมาว่า เราจะติดโรคพิษสุนัขบ้ามั๊ยนะ ดีแล้วค่ะที่สงสัย โรคพิษสุนัขบ้าในปัจจุบัน ยังไม่มีการรักษา เรียกว่าถ้าติดขึ้นมาแล้ว ก็ยังไม่มีใครรอดตายได้เลยนะคะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่แน่ใจ ไปพบแพทย์ไว้ก่อนก็ไม่เสียหายค่ะ
วัคซีนพิษสุนัขบ้า, ถูกสุนัขกัด, ถูกหมากัดทำไง, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมอ อยากให้คุณรู้


สำหรับกรณีที่ปลอดภัยหายห่วง ไม่ต้องฉีดวัคซีนแน่นอนคือ การถูกน้ำลาย หรือเลือดของสุนัข (ความจริงรวมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดนะคะ ทั้งแมว หนู กระรอก) โดยที่บริเวณที่ถูกนั้น"ไม่มี"แผล เป็นผิวหนังปกติของเรา แบบนี้ถือว่าปลอดภัยหายห่วง แผลที่ว่านี้คือแผลเปิดนะคะ ทดสอบง่ายๆก็เอาแอลกอฮอล์เช็ดดู ถ้าแสบ ก็แสดงว่ายังมีแผลเปิดอยู่

ทีนี้ถ้าเกิดว่าถูกกัดจริงๆ มีแผลเปิดแล้ว ก็คงต้องมีการฉีดวัคซีนแน่นอน โดยที่ยาที่จะฉีดนี้ก็มีหลายแบบ บางคนคงเคยได้ยินมาทั้งฉีดรอบสะดือบ้าง ฉีดรอบแผลบ้าง ทำเอาหลายคนเข็ดไปตามๆกัน แต่บางคนก็แค่ฉีดที่ต้นแขน ความจริงแล้วจะได้ฉีดยาแบบไหน มีหลักการอยู่ ดังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ค่ะ

วัคซีนมีแบบไหนบ้าง
วัคซีนสำหรับโรคพิษสุนัขบ้ามี 2 แบบ คือแบบที่"ออกฤทธิ์ทันที" และแบบที่"กระตุ้น"ให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน แบบออกฤทธิ์ทันทีมีข้อดีคือออกฤทธิ์เร็ว แต่ฤทธิ์อยู่ไม่นาน ส่วนแบบที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันข้อดีคืออยู่นาน ถาวร แต่ข้อเสียคือออกฤทธิ์ช้า ทุกคนที่ได้ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า จะได้ฉีดแบบที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน  แต่จะต้องฉีดแบบออกฤทธิ์ทันทีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผล

แล้วแผลสุนัขกัด มีแบบไหนบ้าง
แบ่งเป็น 3 แบบ แบบแรกคือไม่มีแผล (งงจริง แผลแบบแรกคือไม่มีแผล???) ก็คือหมายถึงแบบที่ไม่ต้องฉีดวัคซีน ที่ได้เล่าไปแล้วตอนแรกค่ะ แบบที่สองคือแบบเลือดไหลซิบๆ ไม่ได้ไหลออกมาเป็นหยดๆ แบบที่สามคือ เลือดไหลเรียกว่าอาบเลยทีเดียว บางทีก็เป็นรอยเขี้ยวลึกๆ

ถ้าเป็นแผลแบบแรก ก็ไม่ต้องฉีดยาอะไร สบายใจได้

แต่ถ้าเป็นแผลแบบที่สอง ต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ก็คือวัคซีนฉีดที่ต้นแขน ต้องฉีดทั้งหมด 5 เข็ม แบ่งเป็นวันละ 1 เข็ม 5 วัน คือวันแรกและวันที่ 3, 7, 14, 28 นับจากวันที่มาเริ่มฉีดวัคซีน บางที่อาจจะฉีด บางวัน 2 ที่ก็ได้ ก็จะเป็นอีกสูตรหนึ่ง ซึ่งจะฉีดหลายที่ และใช้ปริมาณยาน้อยกว่า แต่ก็ได้ผลเท่ากันค่ะ

แต่ถ้าเป็นแผลแบบที่สาม ต้องฉีดทั้งแบบกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเหมือนแผลแบบที่สอง และเพิ่มวัคซีนแบบออกฤทธิ์ทันทีด้วย อันนี้แหละค่ะที่ทำเอาหลายคนเข็ดไปตามๆกันเพราะ วัคซีนที่เพิ่มมานี้มีปริมาณตามน้ำหนักตัว และต้องฉีด"รอบแผล" !!! แผลเล็กก็รอดตัว แต่ถ้าแผลใหญ่หล่ะก็ น้ำตาเล็ดกันเลยทีเดียวค่ะ (แต่คงต้องอดทนนะคะ จำไว้ว่าโรคนี้ถ้าติด ไม่มีทางรักษาค่ะ) 

แล้วถ้าเคยฉีดวัคซีนแล้วหล่ะ
บางคนก็สงสัยว่า ถ้าเลี้ยงหมาอยู่ แล้วก็โดนกัดบ่อยๆ ไม่ต้องฉีดจนตัวพรุนเลยเหรอ!!  คำตอบคือถ้าเคยฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแบบที่กระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันแล้ว และต้องฉีดจนครบ 5 ครั้งนะคะ ขอย้ำว่า "ครบ" 5 เข็มแล้ว ถ้าโดนกัดอีกเราก็ฉีดแค่แบบกระตุ้นก็พอค่ะ (เฮ่อ...รอดแล้ว) ก็คือวัคซีนที่ฉีดที่ต้นแขนค่ะ ถ้าครั้งก่อนที่เราฉีดวัคซีน ยังไม่เกิน  6 เดือนก็ฉีดกระตุ้นแค่เข็มเดียว แต่ถ้าเกิน 6 เดือนแล้วต้องฉีดวันนี้ และ อีก 3 วันฉีดอีก 1 เข็ม ก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ

แล้วเรื่องตัดหัวหมาไปตรวจหล่ะ ทำกันจริงๆรึเปล่า
คำตอบคือจะไปทำก็ได้ค่ะ แต่ส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยทำกัน สงสารมัน ยิ่งถ้าเป็นสุนัขเลี้ยงสวยๆ มีสกุล น่ารักน่ากอด เราก็คงทำไม่ลง จริงมั๊ยค่ะ ทั้งหมดที่ได้เล่าไปเป็นกรณีที่เราคิดว่าสุนัขที่กัดเรา "น่าจะมี" เชื้ออยู่ คือกรณีที่โชคร้ายที่สุด ถ้าสุนัขที่กัดเราเป็นสุนัขจรจัด ของใครไม่รู้ เราก็ไปฉีดวัคซีนตามที่ได้เล่ามา แต่ถ้าเกิดว่ามันเป็นสุนัขที่เราเลี้ยงเอง หรือคนรู้จักของเราเลี้ยง สบายดีมาตลอด และฉีดวัคซีนติดต่อกันอย่างน้อย 2 ปี (ต้องมีครบตามที่บอกนะคะ) เราก็มีทางเลือกคือ ดูอาการของมัน 10 วัน ถ้าเกิดว่ามันยังสบายดี น่ารักเหมือนเดิม  เราก็ไม่ต้องไปฉีดวัคซีนต่อก็ได้ค่ะ (ก็จะไม่ต้องไปฉีดวันที่ 14 , 28  รอดไปสองเข็ม เย้!!)

แต่ถ้าถามความเห็นหมอนะคะ ไหนๆก็ฉีดไปแล้ว 3 เข็ม ก็ฉีด อีก 2 เพื่อได้ภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต หลังจากนี้ถ้าโดนกัดอีกก็ฉีดแค่เข็มกระตุ้น จะดีกว่านะคะ ไม่อย่างงั้นเกิดครั้งหน้าโดนกัดเป็นแผลลึกๆ ก็ต้องฉีดรอบแผลอีก ลำบากตอนนี้สบายวันหน้าค่ะ

นอกจากฉีดวัคซีน ต้องทำอะไรอีกมั๊ย
การทำความสะอาดแผล หลังถูกกัดก็ควรล้างด้วยน้ำสบู่ให้สะอาดที่สุด ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ หรือเบตาดีน แล้วมาทำแผลที่โรงพยาบาลอีกที นอกจากนั้นในน้ำลายของสุนัขมีทั้งเชื้อโรคสารพัด ก็ต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ และยังต้องฉีดยาเพิ่มอีก 1 อย่างนะคะ(ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่กลัวเข็มทั้งหลาย) เป็นวัคซีนบาดทะยักค่้ะ ถ้าเข็มสุดท้ายที่เคยฉีด เกิน 5 ปีขึ้นไป ก็ฉีดแค่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน เข็มเดียวค่ะ

Love me, Love my dog แล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะคะ (เกี่ยวกันยังไง 555) สวัสดีค่ะ



โรคที่เราเป็น ต้องไปหาหมอด้านไหนนะ??

ต้องยอมรับว่ายุคนี้เป็นยุคของ "หมอเฉพาะทาง" จริงๆ คนส่วนใหญ่ (ความจริงก็ทุกคน) ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็อยากรักษากับหมอเฉพาะทางด้านโรคนั้นๆเท่านั้น ความจริงอันนี้ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ความเป็นควรตายเป็นเรื่องที่จะมาเล่นๆไม่ได้ ชีวิตใคร ใครก็ต้องรักจริงมั๊ยค่ะ ;D อันนี้ก็เข้าใจอยู่ แม้แต่ทางกฎหมายเองก็ไม่ค่อยให้หมอทั่วๆไปทำอะไรซักเท่าไหร่ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา เราก็มักจะมีความผิดที่ทำ "เกินความสามารถของตัวเอง" ทั้งๆที่สมัยก่อนหมอทั่วไปเนี๊ยแหละ รักษาทุกโรคเลยทีเีดียว

เอาหล่ะบ่นมานาน 555 เข้าเรื่องกันดีกว่า ใครๆก็อยากไปหาหมอเฉพาะทาง แต่ปัญหาก็ติดอยู่ว่า ไม่รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่ต้องไปหาใคร?? พอเดินไปที่โรงพยาบาลก็มีภาษาที่อ่านแล้วไม่เข้าใจอย่าง "อายุรกรรม??" "ศัลยกรรม???" "โสต นาสิก???" "ออโธปิดิก???" (ขออภัยไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกบางท่านที่รู้อยู่แล้ว แต่ถ้าดิฉ้ันไม่ได้เรียนหมอ ดิฉันก็คงไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้น แปลว่าอะไร ก็เลยอยากมาอธิบายให้ทุกท่านฟัง ไม่ได้้เจตนาดูถูกนะคะ)

สาขาหลัก
สาขาหลักๆใหญ่ ทางการแพทย์ ความจริงแล้วก็มีอยู่ 4 สาขาเท่านั้น ที่ทุกท่านควรเข้าใจเบื้องต้น ส่วนสาขาเล็กๆย่อยๆ ก็จะแบ่งออกไปอีกทีตามอวัยวะ สาขาหลัก 4 สาขา ได้แก่

specialist, หมอเฉพาะทาง, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
1. อายุรกรรม  หรือหมอกับพยาบาล จะเรียกสั้นๆว่า "Med" ย่อมาจาก "Internal medicine" สาขานี้เรียกว่ารักษาเกือบทุกโรคเลยก็ว่าได้ มีข้อจำกัดอยู่ที่ "รักษาผู้ใหญ่" และ "ไม่ผ่าตัด" แต่จะรักษาด้วยยาเป็นส่วนใหญ่ โรคอะไรที่รักษาด้วยการผ่าตัดจะอยู่นอกเหนือสาขานี้ อายุรกรรมก็จะถูกแยกย่อยออกไปเป็นสาขาย่อยๆตามอวัยวะต่ออีก ได้แก่
  -ระบบประสาท ดูแลตั้งแต่โรคทางสมอง และระบบประสาท เช่นเส้นเลือดอุดตันในสมอง, อัลไซเมอร์ เป็นต้น 
  -ผิวหนัง ก็อย่างที่หลายๆคนรู้กัน ไม่ว่าจะเป็นสิว กลาก เกลื้ิน ผื่นคันไปจนถึงมะเร็งผิวหนังเลยทีเดียว ส่วนความงามอย่าง botox, filler ความจริงก็ไม่ได้อยู่ในสาขานี้โดยตรงนะคะ แต่เนื่องจากสาขานี้ทำเกี่ยวกับความงามเยอะ ก็เลยถูกเหมารวมไปด้วยค่ะ
  -ทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด ถุงลมโป่งพองมะเร็งปอด เป็นต้น บางโรค ถ้ารักษาด้วยยาแล้วเกิดจำเป็นต้องผ่าตัดก็จะส่งต่อไปให้กับหมอศัลยกรรมช่องอกผ่าตัดเกี่ยวกับปอด หรือถ้าต้องผ่าตัดเกี่ยวกับจมูกหรือโพรงจมูก ก็จะส่งต่อให้กับหมอ หู คอ จมูก (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไปนะคะ)
  -ทางเดินอาหาร ตั้งแต่หลอดอาหารลงไปกระเพาะ ตับ ลำไส้ ถึงทวารหนักเลยทีเดียว ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบนี้ก็ต้องมาที่นี่ค่ะ
  -ไต ไตวาย ไตเสื่อม หรือต้องฟอกไตก็สาขานี้เลย
  -ข้อ และโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ ได้แก่โรคเก๊าท์ รูมาตอยด์ หรือ SLE (คนทั่วไปเรียกโรคพุ่มพวง) เรียกว่าเป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองค่ะ จะรักษาด้วยหมอสาขานี้
  -หัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจขาดเลือด ลิ้นหัวใจรั่ว หัวใจวาย และความดันเลือดสูงก็ต้องรักษากับสาขานี้ค่ะ (ไม่รวมใจหาย ใจละลาย ใจสลาย หรือใจง่ายนะคะ 555)
  -ระบบเลือด ลูกค้ารายใหญ่ของสาขานี้คืมะเร็งเม็ดเลือด อย่างลิวคีเมีย (leukemia เหมือนที่นางเอกหนังเกาหลีเป็นกันบ่อยๆ) โรคโลหิตจาง เกร็ดเลือดต่ำ เป็นต้น 
  -ฮอร์โมน รักษาโรคเกี่ยวกับฮอร์โมนส่วนใหญ่ เช่นไทรอยด์ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต เป็นต้น
  -โรคติดเชื้อ ความจริงอวัยวะของเราก็มีการติดเชื้อได้ทุกที่ ถ้าเกิดว่าเชื้อมีความรุนแรง สาขานี้ก็จะมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ก็จะดูคนไข้ที่ติดวัณโรค หรือ HIV
  -มะเร็ง สาขานี้เชี่ยวชาญด้านการให้ยาเคมีบำบัดค่ะ สำหรับมะเร็งที่ผ่าตัดไม่ได้ ต้องให้ยาเคมีบำบัด ก็ต้องอาศัยแพทย์สาขานี้ค่ะ

2. ศัลยกรรม สาขานี้เป็นสาขาที่รักษาทุกโรคทีี่ต้อง "ผ่าตัด" ซึ่งก็จะแยกย่อยออกไปเป็นอวัยวะต่างๆเหมืือนกัน ได้แก่
- ทั่วไป ถึงแม้ว่าจะชื่อทั่วไป แต่ความจริงแล้วผ่าตัดช่องท้องเป็นส่วนใหญ่ อย่างลำไส้ ไส้ติ่ง ตับ ม้าม หน้าอกอย่างถุงน้ำ หรือมะเร็ง (ถ้าเสริมหน้าอกจะเป็นของศัลยกรรมตกแต่งนะคะ) หรือก้อนเนื้อผิดปกติตามร่างกายต่างๆ
- ระบบประสาท ผ่าตัดสมอง และไขสันหลัง
- หัวใจและช่องอก ผ่าตัดหัวใจ และปอด
- หลอดเลือด ผ่าตัดหลอดเลือดใหญ่ และต่อเส้นเลือด(เช่นจากอุบัติเหตุ)
- ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์ ผ่าตัดไต ทางเดินปัสสาละ และระบบสืบพันธุ์ของคุณผู้ชายค่ะ
- เด็ก ผ่าตัดเด็ก
- ตกแต่ง (ศัลยกรรมพลาสติก) ผ่าตัดตกแต่งเสริมสวย และนอกจากนี้ สำหรับคนไข้อุบัติเหตุอย่างไฟไหม้ โดนยิงที่ต้องเสียอวัยวะบางส่วน หรือทำให้เกิดการผิดรูปขึ้น ศัลยกรรมตกแต่งก็เป็นผู้ดูแล ตัดต่อผิวหนังให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุดค่ะ

3. กุมารเวชกรรม หรือเรียกกันว่า "หมอเด็ก" หมอรักษาเด็กนั่นเอง (ไม่ใช่หมออายุน้อยนะคะ) ถามว่า"เด็ก"นี่ตัดกันที่อายุเท่าไหร่ คำตอบก็อคือประมาณ 15 ปีค่ะ ซึ่งความจริงก็อาจจะเลยไปซักหน่อยได้ ไม่มช่วงตัดแน่นอน แล้วแต่โรคค่ะ หมอเด็กก็จะแยกออกเป็นสาขาย่อยๆอีกเหมือนอายุรกรรมค่ะ รักษทุกโรคที่ไม่ผ่าตัดเหมือนกัน แต่รักษาเด็กเท่านั้น ถ้าต้องผ่าตัดจะส่งต่อให้หมอศัลกรรมเด็กดูแลต่อค่ะ

4.สูตินรีเวช เป็นสาขาสำหรับคนท้อง ตั้งแต่ฝากครรภ์ คลอดลูก คุมกำเนิด และโรคทางระบบสืบพันธุ์เพศหญิงค่ะ (ไม่รวมสาวประเภทสองนะคะ)จะมดลูก รังไข่ ก็ต้องมาที่นี่ สาขานี้รักษาทั้งโรคที่ผ่าตัด และไม่ผ่าตัด มีข้อแม้เพียงแค่ว่าต้องเป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง และคนท้องค่ะ นอกจากนี้ก็จะดูแลเรื่องการวางแผนครอบครัว การคุมกำเนิด ซึ่งอันนี้แหละค่ะที่ทำให้หลายคนงงได้ เพราะว่า"หมันชาย"ก็มาทำที่นี่ได้นะคะ (แม้คุณผู้ชายจะไม่ค่อยอยากทำเท่าไหร่นัก) และการวางแผนครอบครัว เจาะเลือดก่อนแต่งงาน หรือก่อนมีบุตรก็มาตรวจที่นี่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีหน่วย"วัยทอง" สำหรับหญิงวัยทองค่ะ


ความจริงแล้วยังมีสาขาย่อยๆอีกมาก ขอติดไว้ก่อน แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ วันนี้สวัสดีค่ะ

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เขาป่วยเป็นอะไร ก็บอกเขาไปเถอะ

ไม่นานมานี้ได้ดูซีรี่ส์ไต้หวัน ซึ่งจำชื่อเรื่องไม่ได้ แต่ในเรื่องมีผู้ชายคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ทำให้ขาข้างหนึ่งของเขาเดินไม่ได้อีกต่อไป จังหวะแรกที่เขาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาล ลองคิดดูเล่นๆถ้าคุณเป็นแฟนของเขาที่เฝ้าดูแลเขามาตลอดจนฟื้น คุณจะกล้าบอกเขามั๊ยว่าเขาได้เสียขาไปแล้วข้างหนึ่ง??? หรือลองถามตัวเองดู ถ้าเกิดว่าคุณพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลไปตรวจ แล้วหมอเกิดบอกคุณว่าคุณแม่เป็นโรงมะเร็งระยะสุดท้าย คุณจะกล้าบอกคุณแม่มั๊ย ว่าคุณแม่เป็นอะไร?

เหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยในโรงพยาบาล หลายครั้งที่เราไม่กล้าบอกคนที่เรารักว่าเขาเป็นอะไร เพราะเรากลัว กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ กลัวว่าเขาจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย และมากที่สุดคือกลัวเขาจะเสียใจ และซึมเศร้าตลอดไป 

ใครกันแน่ควรเป็นคนแรก"ที่รู้"??
คำถามเกิดขึ้นมากมายสำหรับเหตุการณ์นี้ ความจริงต้องเริ่มจากว่า ความจริงแล้ว คนแรกที่หมอควรบอกว่าเขาเป็นอะไร ควรจะเป็นใครกันแน่ ญาติ? หรือตัวผู้ป่วย? ในต่างประเทศเราถือว่าการวินิจฉัย และประวัติการตรวจโรคทั้งหมดเป็นสิทธิของผู้ป่วย ผู้ป่วยเท่านั้นที่จะเป็นคนเลือกว่าจะให้หมอบอกใคร แต่ในบางกรณีอย่างที่ผู้ป่วยไม่มีสติ เราก็คงต้องบอกญาติใกล้ชิดก่อน แต่ในเมืองไทยคนที่รู้ก่อนส่วนใหญ่ กลับเป็นญาติใกล้ชิด อย่างลูก พี่น้อง หรือพ่อแม่ของคนไข้
บอกความจริงกับผู้ป่วย, บอกข่าวร้าย, อยู่แบบหมอๆ, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ ดต่หมออยากให้คุณรู้

เรากลัวอะไร??
เหล่าหมอทั้งหลาย ความจริงก็เข้าใจดีอยู่นะคะสำหรับสถานการณ์ของญาติผู้ป่วยในการบอกข่าวร้ายกับผู้ป่วย ขนาดหมอเองเป็นคนนอก จะบอกใครซักคนว่า "คุณเป็นเอดส์" หรือ "คุณเป็นมะเร็ง" ยังลำบากใจ ถ้ายิ่งคนที่เรากำลังจะบอกเป็นคนที่เรารัก เป็นคนที่เราดูแลเขามาตลอด เราไม่อยากให้เขาเสียใจ เราก็คงไม่อยากบอก อยากให้เขาไม่รู้ อยากให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังเหมือนเดิมอยู่ตลอด กลัวปฏิิกิริยาของเขา อย่างเป็นพ่อแม่เราเอง เราก็คงไม่อยากเห็นท่านร้องห่มร้องไห้ ตัดพ้อว่าทำไมต้องเกิดโรคนี้กับตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่า "ตาย"ไปยังดีกว่าเป็นโรคนี้ ยิ่งบางท่านถึงกับอยากตายด้วยเหตุผลว่า "ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน" แค่คิดก็ไม่อยากบอกแล้ว จริงมั๊ยคะ

แต่สิ่งที่อยากบอกคือ โลกใบนี้มีความงามอยู่เสมอถ้าเรามองเห็น และฟ้าหลังฝนก็เกิดขึ้นเสมอ ไม่มีฝนไหนที่ตกแล้วไม่หยุด แม้โรคบางโรคจะไม่หาย แต่ความสุขก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ

สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคร้าย
ถ้าคุณเคยเจอมาบ้าง คุณจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่โรคร้ายเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา คนไข้เบาหวานบางคน เริ่มออกกำลังกายหลังจากเป็นโรค ทำให้เขาสุขภาพดีขึ้น น้ำหนักลด และมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเก่า แม้ยังต้องกินยาเบาหวานไปตลอดชีวิต แต่เขาก็คุมน้ำตาลได้ดี และมีชีิวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งที่กล้าไปเที่ยวรอบโลก เพราะการเป็นโรคมะเร็งทำให้เขารู้ว่าทุกเวลาที่มีลมหายใจมีค่าแค่ไหน 

ความจริงแล้วเราอาจจะโชคร้ายที่เจอพายุ แต่เราก็จะโชคดีที่ได้เห็นรุ้งสวยงามหลังจากพายุได้ผ่านไป ทุกคนที่พบโรคร้ายย่อมมีช่วงเวลาที่เลวร้ายของความเศร้า กว่าจะทำใจได้ แต่เมื่อเขาเข้า่ใจมันเขาก็ยิ้มได้อีกครั้ง ดังนั้นอย่ากลัวถ้าโชคชะตาจะทำให้คนที่เรารักต้องเจอกับพายุโหมกระหน่ำ แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องยืนหยัดเคียงข้างเขาในวันที่เจอพายุ ให้กำลังใจเขาจนกว่าจะถึงวันที่ได้เห็นรุ้งงามอีกครั้งหนึ่ง

ร่ายมายาวมาก วันนี้เป็นภาษาราวกับนิยายเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่หมออยากบอกทุกๆคนที่มีคนที่เรารักกำลังป่วย อย่าคิดที่จะปิดบังความจริงกับคนไข้เลย ลองคิดว่าถ้าเป็นเรา เราจะไม่อยากรู้หรือว่าเราเป็นอะไรกันแน่ คุณคิดว่าถ้าคุณตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง คุณจะทำยังไงต่อไป คนที่คุณรักก็คงคิดไม่ต่างกัน การทำใจอาจต้องใช้เวลา แต่การที่ทุกๆคนพากันปิดบังว่าเราเป็นอะไร ทำให้รู้สึกอึดอัดมากกว่า

มันเป็นหน้าที่ของเราที่แข็งแรงดีที่จะทำให้คนไข้มีความสุข ถ้าเราหลงอยู่ในป่า เราก็ไม่ควรปิดตาเขาแล้วหลงทางอยู่ในป่าต่อไป แต่เราควรเปิดตาเขาแล้วหาทางออกไปด้วยกันนะคะ

ขอให้ทุกคนเจอฟ้าหลังฝนเร็วๆค่ะ  


รังแคมารังควาน

รังแคเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เราขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะเวลาใส่เสื้อดำำๆก็กลัวว่าจะมี "หิมะ" ตกบนไหล่ จริงมั๊ยค่ะ นอกจากนี้บางคนก็มักจะคันหัว (ไม่ใช่คันหูนะคะ) อยู่บ่อยๆเวลามีรังแค คนส่วนใหญ่ก็จะซื้อแชมพูขจัดรังแคมาใช้ มันไม่หายจริงๆก็ค่อยมาหาหมอ วันนี้มีเสริมความรู้เกี่ยวกับรังแคกันค่ะ
dandruff, รังแค, diary doctor is me, สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

รังแค คือะไร??
รังแคความจริงแล้วก็คือผิวหนังที่หนังศีรษะของเรานั่นเองค่ะ แต่เป็นผิวหนังที่ลอกหลุดออกมาเป็นสีขาวๆ เซลล์ผิวหนังของเราเหมือนกับกำแพงอิฐ ก่อขึ้นเป็นชั้นๆ แล้วก็มีปูนคอยเชื่อมอิฐแต่ละก้อนให้ติดกัน ทางการแพทย์เราพบว่าคนที่มีรังแค เหมือนกับกำแพงอิฐที่เร็วเกินไป ปูนที่เชื่อมระหว่างอิฐจึงไม่สมบูรณ์ ทำให้กำแพงอิฐไม่ค่อยแข็งแรง แล้วก็ลอกหลุดออกมาได้ง่ายเป็นรังแคนั่นเอง 

ทำไมถึงมีรังแคหล่ะ
ก่อนอื่นต้องสังเกตลักษณะหนังศีรษะของเราว่า เป็นหนังศีรษะสีขาวๆปกติ หรือ มีเป็นสีแดงๆ เหมือนผิวหนังลอกเป็นขุยๆ เพราะว่าสาเหตุของรังแคมีหลักๆ 2 อันคือ

ถ้าหนังศีรษะของเราเป็นสีขาว ก็มักจะเกิดจากการเจริญที่ผิดปกติของยีสต์ (หรือเชื้อราชนิดหนึ่ง)บนหนังศรีษะของเราค่ะ ตามปกติตามโคนผมของเรามีจะมียีสต์ตัวหนึ่งชื่อว่า Pityrosporon ovale อาศัยอยู่ (อันนี้คือแม้คนไม่มีรังแคก็มีนะคะ) ในคนที่มีรังแคเกิดจากการที่ยีสต์ตัวนี้เจริญเติบโตมากกว่าปกติ ทำให้เซลล์ผิวหนังที่ศีรษะของเราไม่แข็งแรง เกิดเป็นรังแคลอกหลุดออกมา

ถ้าหนังศีรษะของเราเป็นสีแดงๆ แล้วรังแคที่ออกมาลักษณะคล้ายๆผิวที่ลอกเป็นขุย อันนี้อาจเกิดจากผื่น"แพ้"ชนิดหนึ่ง ภาษาหมอๆเรียกว่า Seborrhaic dermatitis มันเป็นภูมิแพ้ชนิดหนึ่งค่ะ คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าอาการของภูมิแพ้คือ คัดจมูกน้ำมูกไหล คันจมูก คันตา แต่ความจริงแล้วภูมิแพ้ที่ออกอาการทางผิวหนังก็มีนะคะ แล้วไม่ใช่แค่ผิวหนังตามตัวเท่าันั้น สามารถเป็นที่หนังศีรษะได้ด้วย และก็จะทำให้เกิดอาการคัน มีผิวหนังลอกเป็นขุยๆ คล้ายๆรังแคได้ค่ะ

รักษายังไงดี
โดยปกติแชมพูขจัดรังแคที่ขายกันอยู่ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมอย่าง Selenium sulfide หรือ Zinc pyrithion สามารถรักษารังแคได้จากทั้ง 2 สาเหตุ ในรายที่เป็นไม่มาก ถ้าไม่ได้ผลอาจลองเปลี่ยนมาใช้แชมพูที่มีส่วนผสมอย่าง Ketoconazole ซึ่งความจริงแล้วเป็นยาฆ่าเชื้อราโดยเฉพาะ แต่สำหรับคนที่เป็นจากภูมิแพ้อาจไม่ได้ช่วยมากนัก ถ้าเป็นจากภูมิแพ้ต้องใช้เป็นครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ อย่าง Hydrocortisone cream แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ไปพบคุณหมอก็ได้ค่ะ ว่าเป็นจากอันไหนกันแน่

สำหรับคนที่ซื้อแชมพูตามท้องตลาดมาใช้แล้วอาการดีขึ้น ก็ไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวันนะคะ เพราะว่าอาจจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้ พอดีแล้วก็ควรกลับมาใช้แชมพูปกติค่ะ

ขอให้ทุกคนมีผมนุ่มสลวยไร้รังแค่ค่ะ


วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

หัวล้าน ใจน้อย

หัวล้านและผมบางเป็นปัญหาของผู้ชายหลายคน (รวมทั้งผู้หญิงบางคน) โดยเฉพาะหัวล้านที่เป็นกันตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ในท้องตลาดก็เลยมีผลิตภัณฑ์มากมายที่บอกว่าช่วยลดปัญหาผมร่วง รวมไปถึงร้านสปาต่างๆที่อ้างว่าจะช่วยแก้ปัญหาผมร่วงได้ ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน เรามีความรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับหัวล้าน มาดูกันค่ะ
ผมร่วง, หัวล้าน, ผมบาง, diary doctor isme, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


ทำไมผมถึงจากไป??
ปัจจุบันเราเชื่อว่าผมร่วงมีต้นตอส่วนใหญ่จากกรรมพันธุ์ การดำเนินชีวิตหรืออาหารการกินมีส่วนอยู่บ้างแต่ไม่มาก ลักษณะพันธุกรรมบางอย่างทำให้รากผมตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ ฮอร์โมนเพศชายทำให้รากผมเล็กลง บางลง จนเหลือเป็นผมเส้นเล็กๆ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จึงดูเหมือนหัวล้าน ไม่มีผม 

หัวล้านในผู้ชายกับผู้หญิง ไม่เหมือนกัน
ในผู้ชาย หัวล้านจะเริ่มเป็นหลังช่วงวัยรุ่น โดยเริ่มแรกจะเป็นการร่นถอยของผมที่หน้าผาก (บางคนก็เรียกว่าเป็น "ง่าม") โดยเป็นมากที่มุมร่นขึ้นไป ต่อมาก็จะเริ่มมีหัวล้านตรงกลางศีรษะ (หรือที่เรียกว่า "ไข่ดาว" ) ว่าแล้วเจ้าง่ามและไข่ดาวก็มาเจอกัน กลายเป็นหัวล้านนั่นเอง ส่วนในผู้หญิงจะไม่ค่อยมีการถอยร่นของผมที่หน้าผาก แต่จะเป็นล้านที่กลางศีรษะอย่างเดียว

มีทางรักษามั๊ย
มีอยู่ค่ะ แบบพื้นฐานก็คือการใช้ยา แต่ถ้ามีทุนทรัพย์เพียงพอ ก็สามารถทำการปลูกผมได้ ซึ่งถือว่าเป็นการผ่าตัดแบบหนึ่ง 

สำหรับยาก็จะมีทั้งยากิน และยาหยอด วิธีนี้ทำให้ผมขึ้นจริง แต่ไม่ได้ดกดำอย่างผมที่เคยมี แต่จะเป็นผมเส้นเล็กๆขึ้นมา (พอปกคลุมให้อบอุ่นขึ้น) 

ยาหยอดมีชื่อว่า Minoxidil ความจริงแล้วยาตัวนี้เดิมทีเป็นยาลดความดัน แต่มีผมข้างเคียงคือทำให้ผมขึ้น จึงนำมาใช้รักษาอาการหัวล้านแทน ยาตัวนี้จึงไม่อนุญาตให้กิน แต่ให้ใช้หยอดที่หนังศีรษะเท่านั้นนะคะ ยาตัวนี้อาจต้องอดทนหน่อย กว่าจะเห็นผลต้องหยอดทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 เดือนค่ะ

ส่วนยากิน ชื่อว่า Finasteride เป็นยาที่ช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ผมหนาขึ้นได้ แต่ว่าก็มีผลข้างเคียงที่พบเช่น หน้าอกใหญ่ขึ้น หรือ บางคนสมรรถภาพทางเพศลดลง (คุ้มมั๊ยนะคะคุณผู้ชาย) แต่ก็ขอย้ำว่าเป็นกับบางคนนะคะ บางคนก็ไม่เป็น  ส่วนสำหรับผู้หญิง ยาตัวนี้ก็มีบางรายที่ได้ผลอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีผลการศึกษาแน่ชัดว่าได้ผลสำหรับผู้หญิงค่ะ

ส่วนการรักษาด้วยการปลูกผม ถือเป็นการผ่าตัดอย่างหนึ่ง โดยหมอที่ผ่าตัดจะเอาผมจากส่วนหลังของเรา มาปะให้มันขึ้นที่ส่วนหน้าแทน (ราวกับจัดวาง) ผมข้างหลังของเราก็มีผมยาวๆมาปิดได้ในขณะที่ผมข้างหน้าก็ดูดกดำขึ้น วิทยาการนี้มีการพัฒนาการอยู่เสมอ และมีเทคนิคใหม่ๆออกมามาก สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและค่อนข้างได้ผลดีภายใต้การทำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

จะว่าไปความจริงแล้วคนหัวล้านตามตำราเขาว่าสติปัญญาดีนะคะ อย่าน้อยใจไปค่ะ