เหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยในโรงพยาบาล หลายครั้งที่เราไม่กล้าบอกคนที่เรารักว่าเขาเป็นอะไร เพราะเรากลัว กลัวว่าเขาจะรับไม่ได้ กลัวว่าเขาจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย และมากที่สุดคือกลัวเขาจะเสียใจ และซึมเศร้าตลอดไป
ใครกันแน่ควรเป็นคนแรก"ที่รู้"??
คำถามเกิดขึ้นมากมายสำหรับเหตุการณ์นี้ ความจริงต้องเริ่มจากว่า ความจริงแล้ว คนแรกที่หมอควรบอกว่าเขาเป็นอะไร ควรจะเป็นใครกันแน่ ญาติ? หรือตัวผู้ป่วย? ในต่างประเทศเราถือว่าการวินิจฉัย และประวัติการตรวจโรคทั้งหมดเป็นสิทธิของผู้ป่วย ผู้ป่วยเท่านั้นที่จะเป็นคนเลือกว่าจะให้หมอบอกใคร แต่ในบางกรณีอย่างที่ผู้ป่วยไม่มีสติ เราก็คงต้องบอกญาติใกล้ชิดก่อน แต่ในเมืองไทยคนที่รู้ก่อนส่วนใหญ่ กลับเป็นญาติใกล้ชิด อย่างลูก พี่น้อง หรือพ่อแม่ของคนไข้
เรากลัวอะไร??
เหล่าหมอทั้งหลาย ความจริงก็เข้าใจดีอยู่นะคะสำหรับสถานการณ์ของญาติผู้ป่วยในการบอกข่าวร้ายกับผู้ป่วย ขนาดหมอเองเป็นคนนอก จะบอกใครซักคนว่า "คุณเป็นเอดส์" หรือ "คุณเป็นมะเร็ง" ยังลำบากใจ ถ้ายิ่งคนที่เรากำลังจะบอกเป็นคนที่เรารัก เป็นคนที่เราดูแลเขามาตลอด เราไม่อยากให้เขาเสียใจ เราก็คงไม่อยากบอก อยากให้เขาไม่รู้ อยากให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังเหมือนเดิมอยู่ตลอด กลัวปฏิิกิริยาของเขา อย่างเป็นพ่อแม่เราเอง เราก็คงไม่อยากเห็นท่านร้องห่มร้องไห้ ตัดพ้อว่าทำไมต้องเกิดโรคนี้กับตัวเอง หรือแม้แต่บอกว่า "ตาย"ไปยังดีกว่าเป็นโรคนี้ ยิ่งบางท่านถึงกับอยากตายด้วยเหตุผลว่า "ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน" แค่คิดก็ไม่อยากบอกแล้ว จริงมั๊ยคะ
แต่สิ่งที่อยากบอกคือ โลกใบนี้มีความงามอยู่เสมอถ้าเรามองเห็น และฟ้าหลังฝนก็เกิดขึ้นเสมอ ไม่มีฝนไหนที่ตกแล้วไม่หยุด แม้โรคบางโรคจะไม่หาย แต่ความสุขก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ
สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นจากการเป็นโรคร้าย
ถ้าคุณเคยเจอมาบ้าง คุณจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่โรคร้ายเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา คนไข้เบาหวานบางคน เริ่มออกกำลังกายหลังจากเป็นโรค ทำให้เขาสุขภาพดีขึ้น น้ำหนักลด และมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าเก่า แม้ยังต้องกินยาเบาหวานไปตลอดชีวิต แต่เขาก็คุมน้ำตาลได้ดี และมีชีิวิตที่ดีขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งที่กล้าไปเที่ยวรอบโลก เพราะการเป็นโรคมะเร็งทำให้เขารู้ว่าทุกเวลาที่มีลมหายใจมีค่าแค่ไหน
ความจริงแล้วเราอาจจะโชคร้ายที่เจอพายุ แต่เราก็จะโชคดีที่ได้เห็นรุ้งสวยงามหลังจากพายุได้ผ่านไป ทุกคนที่พบโรคร้ายย่อมมีช่วงเวลาที่เลวร้ายของความเศร้า กว่าจะทำใจได้ แต่เมื่อเขาเข้า่ใจมันเขาก็ยิ้มได้อีกครั้ง ดังนั้นอย่ากลัวถ้าโชคชะตาจะทำให้คนที่เรารักต้องเจอกับพายุโหมกระหน่ำ แต่มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องยืนหยัดเคียงข้างเขาในวันที่เจอพายุ ให้กำลังใจเขาจนกว่าจะถึงวันที่ได้เห็นรุ้งงามอีกครั้งหนึ่ง
ร่ายมายาวมาก วันนี้เป็นภาษาราวกับนิยายเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่หมออยากบอกทุกๆคนที่มีคนที่เรารักกำลังป่วย อย่าคิดที่จะปิดบังความจริงกับคนไข้เลย ลองคิดว่าถ้าเป็นเรา เราจะไม่อยากรู้หรือว่าเราเป็นอะไรกันแน่ คุณคิดว่าถ้าคุณตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง คุณจะทำยังไงต่อไป คนที่คุณรักก็คงคิดไม่ต่างกัน การทำใจอาจต้องใช้เวลา แต่การที่ทุกๆคนพากันปิดบังว่าเราเป็นอะไร ทำให้รู้สึกอึดอัดมากกว่า
มันเป็นหน้าที่ของเราที่แข็งแรงดีที่จะทำให้คนไข้มีความสุข ถ้าเราหลงอยู่ในป่า เราก็ไม่ควรปิดตาเขาแล้วหลงทางอยู่ในป่าต่อไป แต่เราควรเปิดตาเขาแล้วหาทางออกไปด้วยกันนะคะ
ขอให้ทุกคนเจอฟ้าหลังฝนเร็วๆค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
คิดยังไง บอกหมอได้ค่ะ