วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ : ทำไมฉี่บ่อยจัง

อาการนี้คงต้องถามเหล่าคุณผู้หญิง เคยมั๊ยอยู่ๆก็ปัสสาวะบ่อย ปวดบ่อยมาก แทบจะทุก 10 นาที เข้าๆออกๆห้องน้ำตลอด แต่ปัสสาสะทีออกมานิดเดียว บางคนระหว่างปัสสาสะยังปวดท้องน้อย และที่น่าตกใจคือปัสสาวะออกมาแล้วสีแดงๆชมพูๆ!!! นี่แหละค่ะ อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคนี้ไม่ใช่โรคอันตรายเท่าไหร่ แม้บาวคนจะบอกว่า"ปัสสาวะเป็นเลือดเลยนะคะหมอ!!" แต่โรคนี้ก็คล้ายๆไข้หวัดค่ะ มาแล้วก็ไป เดี๋ยวก็หาย อาการก็แบบที่เล่ามา ปัสสาวะบ่อยแต่ต้องออกนิดเดียวนะคะ เหมือนมันไม่สมเหตุสมผลกับอาการปวดปัสสาวะหน่ะค่ะ คุณผู้หญิงส่วสใหญ่ก็จะสามารถประมาณได้อยู่ ว่าปกติเวลาปวดปัสสาวะ พอไปเข้าห้องน้ำก็จะรู้ว่ามีปัสสาวะออกปริมาณหนึ่ง แต่อันนี้มันจะน้อยกว่านั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ปวดปัสสาวะจนต้องรีบเดินเข้าห้องน้ำตลอด บางคนไม่มีอาการนี้แต่มีอาการปัสสาวะแล้วปวดท้องน้อย โดยเฉพาะช่วงที่ปัสสาวะสุด (ก็คือตอนจะหมดนะคะ) บางคนก็ปัสสาวะแสบขัดตรงทางออก และบางคนปัสสาวะเป็นสีชมพูๆแดงๆ แต่อาการปัสสาวะสีชมพูแดงๆต้องมีร่วมกับอาการอื่นนะคะ ถ้าไม่ปวดท้องน้อย ไม่มีปัสสาสะแสบขัด หรือไม่มีปัสสาวะบ่อย อาจจะต้องหาสาเหตุอื่น

โรคภัยไข้เจ็บ, ปวดท้องน้อย, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ปัสสาวะขุ่น, ฉี่บ่อย, ปัสสาวะบ่อย, Diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
เกิดจากอะไรเหรอ
เป็นการติดเชื้ออย่างหนึ่งคะ ถ้าจะให้นึกภาพทางเดินปัสสาวะของเรา ลองนึกถึงแจกันดอกไม้ที่มีคอยาวๆ ใส่ดอกกุหลาบดอกเดียว แล้วเอาแจกันนี้วางคว่ำ กระเพาะปัสสาวะเหมือนกระเปาะใส่น้ำของแจกัน ส่วนท่อปัสสาวะคือคอขวดที่ยาวๆ เชื้อโรคที่มีอยู่แล้วตรงปากทางเดินปัสสาวะจะพยายามแพร่กระจายเข้าไปตามทางเดินปัสสาวะ โดยปกติถ้าเรากินน้ำเยอะ ไปปัสสาวะ ก็จะเป็นการล้างเชื้อโรคเหล่านี้ออก แต่เมื่อใดที่เรากินน้ำน้อย กลั้นปัสสาวะ หรือว่าทำความสะอาดบริเวณทางออกของทางเดินปัสสาวะไม่มีดี เชื้อโรคก็จะคืบคลานเข้าไปจนถึงกระเพาะปัสสาสะ ทำห้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ค่ะ

แล้วทำไมผู้ชายเป็นโรคนี้ไม่ได้เหรอ
ผู้ชายปกติที่ร่างกายแข็งแรงมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยค่ะ ด้วยเหตุผลว่าทางเดินปัสสาวะของผู้ชายยาวกว่าของผู้หญิงหลายเท่า จึงมีโอกาสเป็นน้อยมาก แต่มีข้อยกเว้นในผู้ชายที่มีลักษณะทางเดินปัสสาวะที่ผิดปกติทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำปัสสาวะ หรือผู้ชายที่อายุมาก มีภาวะต่อมลูกหมากโต(ต่อมลูกหมากจะอยู่ใกล้ๆท่อปัสสาวะ เวลามันโตจะกดเบียดท่อปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไหลไม่สะดวก และเกิดการคั่งค้างได้เช่นกัน) ถ้าผู้ชายคนไหนมีความผิดปกติเหล่านี้ก็จะเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่ายเช่นกัน

ในทางกลับกัน ถ้าเกิดเราตรวจพบภาวะกระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้ชายคนไหน เราก็จะสงสัยว่าเขาอาจมีทางเดินปัสสวะที่ผิดปกติ หรือมีต่อมลูกหมากโตก็ได้ แต่หนูๆหนุ่มน้อยอายุแค่ 20-30 อย่าพึ่งกังวลว่าตัวเองจะมีต่อมลูกหมากโตนะคะ โดยทั่วไปผู้ชายที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตต้องเป็นหนุ่มใหญ่อายุซัก 40ปลายๆ หรือ 50 ขึ้นไปค่ะ

รักษายังไง
ง่ายมาก ถ้าติดเชื้อก็ต้องกินยาฆ่าเชื้อค่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่ายากินสำหรับฆ่าเชื้อสำหรับทางเดินหายใจ ไม่ได้เหมาะที่จะฆ่าเชื้อทางเดินปัสสาวะนะคะ อย่าพึ่งไปหยิบยาฆ่าเชื้อที่กินเวลาเจ็บคอมากิน เพราะว่าอาจไม่หาย ยาที่ใช้ส่วนใหญ่ที่จ่ายกันจะเป็น Norfloxacin, Ofloxacin, Bactrim(co-trimoxazole) ชื่อยาเห็นแล้วประหลาดปวดหัว ไปพบแพทย์ให้แพทย์จ่สยยาให้ได้ค่ะ หรือแบบที่เรามักทำกันคือให้คุณเภสัชตามร้านขายยาแนะนำได้ค่ะ

อาการที่ต้องระวัง และอาจต้องไปพบแพทย์แล้ว คือ มีไข้สูงหนาวสั่นร่วมด้วย, ปวดบั้นเอว, เป็นคนท้อง, ปวดท้องตลอดเวลา หรือเป็นมากจนทนไม่ไหวค่ะ แล้วก็ถ้้าคุณเป็นผู้ชายอายุน้อย และเป็นหลายครั้งแล้ว ก็อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์นะคะ

แล้วจะเป็นอีกมั๊ย
อย่างที่บอกว่ากระเพาะปัสสาวะอักเสบก็เหมือนหวัด เป็นแล้วเป็นอีกได้ กินยาก็หาย สิ่งที่ช่วยป้องกันโรคนี้ได้ก็คือ การดื่มน้ำมากๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ และทำความสะอาดให้ดีหลังเสร็จกิจจากห้องน้ำทุกครั้งค่ะ

อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ สวัสดีค่ะ

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไม่มีอะไร 100% ใน medicine

"ไม่มีอะไร 100% ใน medicine" ประโยคนี้ค่อนข้างคุ้นเคยกันในหมู่แพทย์ แปลความตรงตัวก็คือ ไม่มีอะไรแน่นอนในทางการแพทย์ ฟังประโยคนี้บางคนถามว่า คำว่า"อะไร" นี่หมายถึงอะไรบ้างหรือ หมายถึง เงินเดือนของแพทย์? ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วงนี้ หมายถึง ตำแหน่งแพทย์? ชีวิตแพทย์? แน่นอนค่ะ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน แต่คุณเคยไหม

"ที่บอกว่าผมเป็นมะเร็ง แน่นอนแล้วเหรอครับ"
"แล้วผมจะหายแน่นอนเหรอครับหมอ?"
"ยานี้ไม่มีผลเสียแน่นอนใช่มั๊ยค่ะ"

ความไม่แน่นอนทางการแพทย์, ชีวิตหมอ, ความจริงทางการแพทย์, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้
เฮ่อ... ความจริงแล้วทุกคนก็ต้องการความแน่นอนกันทั้งนั้น แม้ว่ามันจะไม่เคยเป็นจริง ยิ่งเป็นเรื่องของร่างกาย เรื่องของสุขภาพ เรื่องของความเป็นความตาย ทุกคนก็ยิ่งต้องการความแน่นอน แม้ว่าความจริงมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับทุกๆอย่างบนโลกใบนี้เลย

จริงๆแล้วสำหรับเรื่องสุขภาพ ความเจ็บป่วย เราอาจจะยอมรับความไม่แน่นอนได้ดีกว่าถ้าไม่ได้มาหาหมอเลย พอมาหาหมอก็คาดหวังว่าจะหมอจะรักษาได้ คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าหมอเป็นที่พึ่งเมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพ (ก็ใช่สิ! ไม่งั้นจะมาหมอทำไม) แต่ทุกคนก็ลืมไปว่าความจริงแล้วสิ่งที่หมอรู้ และการรักษาที่หมอให้ได้ก็ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนเหมือนกัน

หมอคิดว่าคุณน่าจะเป็น....
คุณรู้หรือไม่การวินิจฉัยของแพทย์เป็นสถิติอย่างหนึ่ง เรารู้ว่าคนไข้แต่ละคนที่เดินเข้ามาเป็นโรคอะไรจากการที่เรารู้ว่าคนไข้ที่เป็นแต่ละโรคนั้น "ส่วนมาก" มีอาการเป็นอย่างไร และจะตรงเจออะไร เช่น คนไข้ที่เป็นไข้เลืืือดออก "ส่วนมาก"มีไข้สูงลอย เบื่ออาหาร อาการไอเจ็บคอหรือน้ำมูกไหลไม่เด่นชัด "บางราย"ปวดท้อง อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ถ้ามีคนไข้อาการตามที่เล่ามาเดินเข้ามาเราก็รู้ได้ว่าน่าจะเป็นโรคนี้ แต่อย่างที่เห็นไม่มีคำว่า "แน่นอน" ทุกอย่างมีโอกาสไม่ได้เป็นไปตามที่คนส่วนมากเป็น หมอทุกคนถูกสอนให้เผื่อใจไว้ เมื่อไหร่ที่เห็นมีอะไรบางอย่างแปลกไป เราอาจต้องรื้อทุกอย่างมานั่งคิดกันใหม่ ดังนั้น ไม่แปลกถ้าหมอจะพูดว่า "หมอคิดว่าคุณ'น่าจะ'เป็น....."

การรักษา
การรักษาเองก็มีความไม่แน่นอน ด้วยตัวโรค ตัวคนไข้ และตัวยา อย่างเช่น ถ้าใครมีญาติผู้ใหญ่เป็นเบาหวานอาจจะพอทราบ บางคนกินยาตัวเดียวร่วมกับออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร น้ำตาลในเลือดก็ดี แต่บางคนยาก็เพิ่มแล้ว เพิ่มอีก ทั้งออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร แต่น้ำตาลก็ยังไม่ดี หรือแม้แต่การผ่าตัด ก็เหมือนการทำกับข้าว บางวันอร่อย บางวันไม่อร่อย ถึงแม้คุณจะชำนาญทำทุกวัน ก็อาจมีซักวันที่พลาดไม่อร่อยเหมือนทุกวัน และหากเกิดบางวันเนื้อที่ซื้อมามีคุณภาพเปลี่ยนไป แน่นอนอาหารก็ไม่เหมือนเดิม กับหมอผ่าตัด เชื่อเถอะค่ะ หมอทุกคนมีความสุขเวลาที่คนไข้หายดี พวกเราทุกคนอยากเห็นคนไข้ยิ้มได้ สำหรับการผ่าตัด เราก็อยากให้ทุกอย่่างผ่านไปด้วยดี แต่ทุกอย่างก็มีโอกาสพลาดได้จริงๆ ไม่ใช่แค่คนไข้หรอกค่ะที่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับหมอแล้ว แม้เป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ก็อดรู้สึกผิดและเสียใจไม่ได้เช่นกัน

เคราะห์ซ้ำ กรรมซัด
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และป้องกันไม่ได้ มีเหตุการณ์บางอย่างที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถป้องกันได้ และไม่มีใครรู้ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เหมือนรถที่ขับๆอยู่ดีๆ จู่ๆก็มีป้ายโฆษณาหักลงมาทับพอดี คนขับตายคาที่อะไรประมาณนั้น ถามว่าใครผิด? ป้ายโฆษณา? คนทำโฆษณา? คนขับ? รถ? ถนน? พระเจ้า? (สงสัยท่านจะต้องเป็นแพะซะแล้ว) สิ่งเหล่านี้ได้แก่ การแพ้ยา การติดเชื้อขณะอยู่โรงพยาบาล น้ำคร่ำเข้าสู่กระแสเลือดในคนท้อง ภาวะเลือดออกอย่างรุนแรงในผู้ป่วยไข้เลือดออก และยังมีอีกมากมายที่เข้าข่ายนี้ ไม่มีหมอคนไหนอยากให้เกิด แต่ก็ป้องกันอะไรไม่ได้ นอกจากเฝ้าดูและคอยแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งบางอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หมอก็จนปัญญาจริงๆ

หลายท่านไม่เข้าใจความไม่แน่นอนเหล่านี้ นำมาสู่การฟ้องร้องหมอ (เป็นหมอนี่มันน่าน้อยใจจริงๆ) หลายคนประณามหมอที่ออกมาช่วยหมอด้วยกัน ความจริงเป็นเพราะหมอทุกคนรู้เรื่องของความไม่แน่นอนนี้ เราทุกคนเข้าใจกันดี และเราก็เข้าใจว่ามีหลายแง่มุมของวิชาทางการแพทย์ที่ไม่เหมือนวิชาอื่น คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ และทุกคนก็ยึดติดกับการที่หมอควรจะรักษาได้"ทุกโรค" คิดว่าความเจ็บป่วยเมื่อถึงมือหมอแล้วควรจะไปในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น ถ้าแย่ลงแสดงว่าเป็นความผิดของหมอ!!! รถเสียที่เข้าอู่ยังไม่แน่เลยว่ากลับออกมาแล้วจะดีได้ซักแค่ไหน ร่างกายคนเราแสนซับซ้อน อะไรก็เกิดขึ้นได้ค่ะ

เรื่องราววันนี้ออกจะหดหู่ซักหน่อย แต่เป็นสิ่งที่หมออยากให้ทุกคนเข้าใจ ทุกวันนี้เรากำลังต่อสู้กับพระเจ้าทุกวัน และยื้อชีวิตกับมจุราชทุกวัน ก็เพื่อรอยยิ้มของผู้เป็นทุกข์ที่เดินมาหาเรา ไม่มีหมอคนไหนอยากให้คนไข้ตาย ไม่มีใครอยากเห็นคนไข้ทรมาน ทุกคนอยากเห็นคนไข้แข็งแรง มีความสุข และกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม วันนี้ขอจบเท่านี้นะคะ สวัสดีค่ะ



วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ต้องออกกำลังกายเยอะแค่ไหน

พูดถึงการออกกำลังกาย ทุกคนรู้ว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ด้วยภาระการงาน ลำพังงานที่ทำอยู่ หลายคนทำงานที่ต้องเดินไปเดินมาทั้งวัน เมื่อยก็เมื่อย เหนื่อยก็เหนื่อย กลับถึงบ้านก็แทบอยากจะสลบคาเตียงที่แสนอบอุ่นที่บ้าน แม้แต่จะลุกไปทำกับข้าว หรือทำอาหารกินเองยังไม่อยากขยับเลย แ้ล้วนับประสาอะไรกับการหาเวลาออกกำลังกาย หลายคนก็เริ่มสงสัยว่า งานที่ทำอยู่เนี๊ย ทั้งยกของ เดินไปเดินมาทั้งวัน นับเป็นการออกกำลังกายได้มั๊ยนะ กะว่า 2 in 1 ทำทั้งงาน และถือเป็นการออกกำลังกายไปด้วยเลยจะได้มั๊ยเนี๊ย
ออกกำลังกาย, โรคอ้วนลงพุง, exercise,metabolic syndrome,ออกกำลังกายมากแค่ไหน, ออกกำลังถูกวิธี, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้


คำถามแรกที่ต้องตอบได้คือ เราอยากออกกำลังกายเพื่ออะไร การออกกำลังกายเพื่อจุดหมายต่างกัน ก็ต้องออกกำลังกายต่างกัน เหมือนเค้กช็อกโกแลต กับเค้กกล้วยหอม ถึงเป็นเค้กเหมือนกัน แต่ส่วนผสมก็ต่างกัน อย่างเช่นถ้าเราต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก หลักการก็คือต้องใช้พลังงานให้มากกว่าพลังงานจากอาหารที่เรากินในแต่ละวัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหนักๆที่ fitness center หรือ ทำงานบ้านทั้งวันนับรวมด้วยทั้งนั้น เพราะถือเป็นการใช้พลังงานทั้งหมด เพียงแต่งานหนักหน่อยก็ใช้พลังงานเยอะหน่อย ถ้างานเบาก็ใช้พลังงานน้อยหน่อย แต่ในที่นี้เราจะมาพูดถึงการออกกำลังเพื่อป้องกันโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome)

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบนี้ต้องเป็นการออกกำลังกายที่ทำให้เกิดความเหนื่อย ให้ร่างกายได้อยู่ในภาวะที่กำลัง "ออกกำลัง" จริงๆ โดยที่ฝรั่ง(พี่ใหญ่อเมริกาของเรานั่นเอง) แนะนำไว้คือ

ออกกำลังกายแบบปานกลางอย่างน้อย150 นาทีต่อสัปดาห์ (หมายความว่าจะเฉลี่ยออกกำลังกายกี่วันก็ได้ใน 1 สัปดาห์นะคะ)ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ(ก็คือเล่นกล้ามหน่ะคะ แต่ไม่ได้กำลังชวนให้ทุกท่านสร้างกล้ามจนล่ำบึกนะคะ เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปค่ะ)สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือ

ออกกำลังกายแบบหนักอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์ ร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

อ่านแล้วงงใช่มั๊ยค่ะ ว่านะเอาไปทำจริงๆยังไง ใจเย็นๆนะคะ อย่าพึ่งหนีไป อ่านต่อกันก่อน จะเล่าให้ฟังค่ะ

การออกกำลังกายที่ช่วยป้องกันโรคอ้วนลงพุงมี 2 แบบ คือการออกกำลังกายแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Aerobic exercise (ไม่ใช่เต้นแอโรบิกนะคะ) คือการออกกำลังใช้ร่างกายทั่วๆไป แบบที่สองคือ muscle strengthening exercise เป็นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

Aerobic exercise แบ่งความหนักไว้ 3 ระดับคือ เบา ปานกลาง หนัก
-แบบเบา เป็นการทำกิจกรรมที่ไม่ได้ทำให้หัวใจของเราเต้นเร็วขึ้น เราทำได้เรื่อยๆ ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เช่น เดินช็อปปิ้ง กวาดบ้าน ล้างจาน ฯลฯ กิจกรรมเล่านี้ช่วยเผาผลาญพลังงาน แต่ไม่ได้ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลัง "ออกกำลัง" สรุปแล้วกิจกรรมเหล่านี้ไม่นับเป็นการออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคนะคะ (หลายคนคงได้คำตอบนะคะ)

-แบบปานกลาง อันนี้เป็นกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นบ้าง เริ่มเหงื่อออก สังเกตง่ายๆ ช่วงที่ออกกำลังอยู่นั้น เราจะหายใจเร็วขึ้น อาจจะพูดประโยคได้ปกติ แต่ถ้าให้ร้องเพลง เราก็จะเริ่มติดๆขัดๆ ต้องหยุดร้องเพราะหายใจไม่ทัน กิจกรรมเหล่านี้เช่น เดินเร็วๆ ขี่จักรยานทางราบ เป็นต้น

-แบบหนัก กิจกรรมเหล่านี้จะทำให้เหนื่อยมากขึ้นไม่สามารถพูดประโยค 4-5 คำโดยไม่หยุดหายใจได้ ยกตัวอย่างเช่น วิ่งjogging, ว่ายน้ำ, บาสเก็ตบอล, เทนนิส เป็นต้น

ส่วนการออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อแต่ละส่วนเช่น ยกweight สำหรับแขน, sit up สำหรับหน้าท้อง, นั่งเก้าอี้อากาศสำหรับขา, โยคะ(ในท่าที่ต้องใช้แรง) กล้ามเนื้อของคนเราจะโตตามการใช้งาน (สาวๆจึงไม่อยากเดินเยอะ เพราะกลัวน่องโต) ที่แนะนำการออกกำลังกายแบบนี้ไม่ได้อยากใ้สาวๆม่กล้ามโตหรอกนะคะ แต่เราออกกำลังกายแบบนี้ไม่ต้องหนักมาก เพื่อรักษากล้ามเนื้อของเราไว้ กล้ามเนื้อเป็นแหล่งใช้พลังงาน เผาผลาญบรรดาไขมัน และน้ำตาลจึงช่วยป้องกันโรคอ้วนลงพุงด้วย

วิธีคือ แต่ละท่าที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็น ยกน้ำหนัก, sit up ให้ทำติดต่อกันจนกล้ามเนื้อทำไม่ไหวแล้วหยุดพักนับเป็น 1 ชุด โดยทั่วไปจะทำได้ประมาณ 8-15 ครั้ง ถ้าทำได้มากกว่าแสดงว่าท่าง่ายเกินไป หรือน้ำหนักที่ยกเบาไป ทำซักวันละ 1 ชุดก็โอเคแล้ว แต่ถ้าอยากให้กบ้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น อาจเพิ่มเป็น 2-3

อ่านแล้วรู้สึกว่าทำยาก ยุ่งยาก ขอให้เริ่มจากน้อยๆก่อนค่ะ ทีละ 10 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของเรานะคะ ถ้ายังไม่รู้ว่าจะออกกำลังกายไปทำไม อ่านทางนี้เลยค่ะ ออกกำลังกายไปทำไมเหรอ??


วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ออกกำลังกายไปทำไมเหรอ??

คนไข้บางคนมาพบหมอเพื่อตรวจสุขภาพประจำปี ดิฉันก็ถามว่า"คุณออกกำลังกายบ้างมั๊ยค่ะ" ก็มีคำตอบมากมายตอบกลับมา "ไม่ค่อยได้ออกครับ ผมไม่มีเวลา" "ก็ทำงานบ้านทุกวันหน่ะค่ะ" "ออกอยู่บ้างครับ เมื่อมีโอกาส"(ปีละครั้งรึเปล่านะคุณ) ดูเหมือนหลายคนจะรู้อยู่ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างว่า "การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดี" "คนเราควรออกกำลังกาย" แล้วถ้าถามว่าการออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างไร เชื่อมั๊ย ร้อยละ 90 ตอบว่า "ทำให้ร่างกายแข็งแรง" แล้วแข็งแรงยังไงอะ "เอ่อ........." นึกไม่ออกเลยทีเดียว (ตอนนี้ ร้อยละ 90 กำลังคิดอยู่ว่าจะพูดคำว่า "ทำให้ร่างกายแข็งแรง"ด้วยรูปประโยคอื่นว่ายังไง 555)

เอาเถอะค่ะ ความจริงคือ บางที เรายังไม่รู้ประโยชน์ของการออกกำลังกายดีพอ ก็เลยยังไม่คิดจะเริ่มมัน มาอ่านทางนี้กันดีกว่าค่ะ


1.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
แน่นอนคนส่วนใหญ่ เริ่มเดินเข้า fitness ครั้งแรก เพราะอยากลดน้ำหนัก จริงมั๊ย คนผอมๆส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยคิดถึงความจำเป็นในการออกกำลังกายเท่าไหร่ ยกเว้นว่าชอบกีฬาบางอย่างอยู่แล้ว สมการง่ายๆของการสะสมไขมันในร่างกายที่ทุกคนเข้าใจคือ

กิน - ใช้ = ไขมันสะสม

จะให้ไขมันสะสมลดลงก็ต้องกินน้อยลง ไม่ก็ใช้ให้มากขึ้น สมมติว่า ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายเท่าไหร่(ไม่ต้องสมมติหรอก มันเรื่องจริงเลยหล่ะ) เลยกะว่าจะกินอาหารแค่วันละ 2 มื้อพอ เช่น ปกติ กิน 10 ใช้ 7 

10 - 7 = 3

กินน้อยหน่อย เหลือซัก 6 ก็กะว่าจะได้ 6 - 7 = -1 โอเค ลดวันละ 1 ก็ยังดี ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ผอม ผิดค่ะ!!!!

ความจริง ร่างกายของเราไม่ได้เป็นสมการเลขง่ายๆอย่างงั้นหน่ะสิค่ะ เวลาที่เรากินน้อยลง ร่างกายจะเริ่มกลัวอดตายค่ะ มันจะพยายามเผาผลาญพลังงานให้น้อยลง สะสมพลังงานไว้ใช้สำรอง นั่นเป็นเหตุผลว่าเวลาอดอาหารมากๆจะเริ่มง่วงนอนบ่อย ซึม ไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า ถ้าคุณกิน 6 ร่างกายอาจจะลดลงมาใช้แค่ 6 ก็จะเป็น 

6 - 6 = 0

โอเค น้ำหนักก็ไม่ขึ้น ก็ยังดีนะ แต่เมื่อไหร่ที่กลับไปกินเท่าเดิมนะ อย่าแม้แต่จะคิดเลยค่ะ น้ำหนักจะพุ่งพรวดเลยทีเดียว กว่าร่างกายจะกลับมาเผาผลาญเท่าเดิม ก็ต้องใช้เวลา

สรุปแล้วสาธยายมานานมาก อยากให้รู้ว่า ถ้าคิดจะลดน้ำหนัก การลดอาหารเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เราต้องรักษาการเผาผลาญของเราให้เท่าเดิม หรือ เพิ่มมากขึ้นด้วยการออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีแล้ว ยังทำให้รักษาน้ำหนักที่ต้องการไว้ได้อีกด้วย

2. ลดโรค metabolic syndrome
ขอพูดเรื่อง metabolic syndrome ก่อน ภาษาไทยมักแปลกันว่า "โรคอ้วนลงพุง" (ก็แหงสิ อ้วนก็ต้องลงพุง) ซึ่งเป็นชื่อที่ทำให้เราเห็นภาพไม่หมด ความจริงโรคนี้รวมไปถึงการเป็นโรคความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และไขมันในเลือดสูงด้วย ซึ่งการเป็นโรคน้ีทำให้เรามีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต(ที่เกิดจากเส้นเลือดอุดตันในสมอง) และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในอนาคต (เรื่องโรคนี้จะขอมาพูดในภายหลังนะคะ ยาาาาาววววววมากค่ะ :))

มีการศึกษาจำนวนมากที่ลงความเห็นไปทางเดียวกันคือ การออกกำลังกายนอกจากจะลดไขมันรอบเอวแลัว ยังปรับบรรดาฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้ไขมันในเลือดลดลง น้ำตาลในเลือดลดลงและความดันโลหิตก็ลดลงด้วย สรุปว่าช่วยลดความเสี่ยงการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดอุดตันในสมอง และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย

3. ลดเบาหวาน
อันนี้คล้ายข้อที่แล้ว เพราะว่าโรคเบาหวานทำให้เกิด อัมพฤกษ์ อัมพาตจากเส้นเลือดอุดตันในสมอง และโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ และยังมีความสามารถรอบด้านกว่านั้นอีก คือจะทำลายไต ทำลายเส้นประสาทและตา คนที่ไม่ควบคุมโรคเบาหวานให้ดี ปล่อยทิ้งไว้ สามารถไตวาย และตาบอดได้เลยทีเดียว (ขู่กันจริงเลยหมอ....ขออนุญาตขู่ค่ะ แต่ขู่ด้วยความปรารถนาดี) การออกกำลังกายช่วยปรับฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลทำให้มีโอกาสเป็นเบาหวานน้อยลง แต่ถ้าเป็นอยู่แล้ว จะทำให้สามารถคุมน้ำตาลได้โดยใช้ยาน้อยลง และคุมได้ดีขึ้น

4. รักษากล้่ามเนื้อและกระดูก
อวัยวะ 2 อย่างนี้ในร่างกายเป็นอวัยวะที่ยิ่งใช้ ยิ่งแข็งแรง สำหรับกล้ามเนื้อก็ชัดเจนอยู่แล้ว อยากกล้ามโตก็ต้องเล่นกล้าม แต่สำหรับกระดูกที่เรามองไม่เห็น กระดูกที่ได้รับแรงกระแทกในปริมาณที่ไม่มากเกินไป ร่างกายจะรับรู้ว่ามันต้องรักษาความแข็งแรงของกระดูกไว้ เพราะต้องทนกับแรงกระแทกนี้ เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยรักษามวลกระดูกของเราไว้ ให้แข็งแรงอยู่เสมอ เหมือนมีด อยากให้คมก็ต้องรับมีดบ่อยๆ

5. ออกกำลังกายทำให้อารมณ์ดี
อันนี้หลายคนคงเคยได้ยินมาก่อน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายหลั่งสารที่ทำให้เกิดความสุข( Endorphin) ทำให้เราอารมณ์ดี และเกิดภาวะซึมเศร้าน้อยลง ความจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ถ้าได้ออกกำลังกายไปสักระยะหนึ่ง จะเริ่มรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไปเมื่อหยุดออกกำลังกาย เชื่อเถอะช่วงแรกถ้าได้เริ่มแล้ว ด้วยประโยชน์ และความรู้สึกสดชื่น จะไม่อยากหยุดเลยทีเดียว

นอกจากนี้ก็ยังมีข้อดีอื่นๆอีกเช่น
-ทำให้มีเพื่อนมากขึ้น แน่นอน ถ้าเราออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตามสถานที่ออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็น fitness center, สวนลุม, tennis court, สนามกอล์ฟ ฯลฯ แน่นอนเราต้องเจอคนที่มีความชอบการออกกำลังกายเหมือนกัน แลกเปลี่ยนพูดคุยกันบ้าง ก็อาจจะได้เพื่อนใหม่นอกเหนือจากเพื่อนที่ทำงาน แถมบางคนก็ได้คนรู้ใจจากที่นี่แหละ จริงมั๊ยค่ะ
-ไม่เหงา เพราะว่ามีอะไรทำ555
-ดูดี นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้เราสุขภาพดีจากภายในแล้ว ความจริง เราก็ดูดีตั้งแต่บอกว่าวันนี้ "จะไปไหน" ถ้าเราตอบว่า "ไปว่ายน้ำค่ะ" แหน่ะ!! รู้สึกได้เลยว่าเราเป็นคนสุขภาพดี และดูแลตัวเอง (เข้าข้างตัวเองสุดๆ)

เล่ามามากมาย บางคนอาจจะคิดได้มากกว่าหมออีกนะคะ แต่อย่างไรก็ตาม ที่่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่อยากให้ทุกคนเห็นประโยชน์ของการออกกำลังกาย ไปออกกำลังกายกันเถอะค่ะ ฮู้!!!! 


ออกกำลังกายไปทำไม, ประโยชน์การออกกำลังกาย, ออกกำลังกาย, diary doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้แต่หมอ อยากให้คุณรู้

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปวดท้องตรงไหนเป็นอะไร

ทุกคนเวลามีอาการผิดปกติ อย่างอาการปวดท้อง ก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร อาการปวดเป็นจากอะไร (ชั้นจะตายรึเปล่า อ๊ากกก) เชื่อว่าทุกคนคงเคยปวดท้อง และทุกคนเคยได้ประสบกับการปวดท้องหลายๆแบบแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ปวด ลักษณะอาการปวด หรือเวลาที่ปวด รายละเอียดเหล่านี้ความจริงแล้วก็เป็นส่วนที่สำคัญมากที่แพทย์ใช้ประกอบการวินิจฉัยโรค ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร มาฟังทางนี้กันเร้ว ^o^

ท้าวความตอนที่แล้ว ปวดท้องอะไรยังไง ถ้าตอนนี้รู้สึกปวดท้อง ลองถามดูว่ารู้มั๊ยว่าปวดตรงไหน ถ้ารู้ชัดเจนว่าจุดที่เจ็บที่ปวดที่สุดอยู่ตรงไหน กดปุ๊บเจอปั๊บ แสดงว่าน่าจะเป็นอาการปวดจากกล้ามเนื้อ ยิ่งถ้าปวดหลังจากพยายาม Sit up ลดพุงอย่างหนักเมื่อวานนี้ (ฮึบๆ) หรือว่า ออกกำลังกายอย่างหนัก ยกของหนัก ก็ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้นว่าน่าจะเป็นจากกล้ามเนี้อนั่นเอง แต่ สิ่งที่พบบ่อยมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น คนที่ปวดท้องส่วนใหญ่มักมีอาการปวดท้องตื้อๆ พอบอกบริเวณได้ แต่ไม่ได้หาจุดเจ็บได้ชัดเจนนัก อันนี้ก็เดาได้ว่าอาการน่าจะเป็นจากอวัยวะภายในนั่นเอง


source : http://doctorisme.blogspot.com/2013/03/blog-post_22.html
ปวดตรงไหน
แม้ว่าจะบอกจุดเจ็บได้ไม่แน่นอนแต่อย่างน้อย ทุกคนบอกบริเวณได้ว่าปวดตรงไหน อวัยวะที่เป็นต้นกำเนิดของอาการปวดก็มักจะนอนเล่นอยู่ในท้องของเรา ใกล้ๆกับตำแหน่งที่ปวดของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากรู้ว่าเป็นจากอะไรก็คงต้องรู้ว่า ตับ ไต ลำไส้ของเรา วางอยู่ตรงไหนกันบ้าง แบบที่ภาษาหมอๆ (ที่ฟังยากๆ) พูดกันว่า เราควรรู้กายวิภาค (Anatomy) ของร่างกายของเราก่อน

ปวดที่เหนือสะดือด้านขวา
ตำแหน่งนี้มักจะมีต้นเหตุจาก ตับ ถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดี ความจริงแล้ว 3 สหายนี้ พำนักอยู่หลังซี่โครงซี่ล่างๆ ทางด้านขวาของเรา แต่เวลาที่พวกเขาส่งเสียงเรียกเรา เพราะไม่สบาย เขาจะแสดงอาการปวดออกมาแถวๆ ใต้ชายโครงขวา ก็คือบริเวณเหนือสะดือข้างขวานี้แหละ และอีกอวัยวะหนึ่งที่อยู่แถวๆนั้นเหมือนกัน คือลำไส้ใหญ่ จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นอันไหน ก็คงจะต้องใช้ลักษณะอาการอื่นๆช่วย ยกต้วอย่างเช่น นิ่วในถุงน้ำดี อันนี้ก็มักจะปวดจี๊ด ตื้อๆ แล้วแต่คนจะอธิบาย แต่จะปวดเป็นพักๆ เด๋วก็หายไป แล้วก็เป็นใหม่ แล้วถ้ามีถุงน้ำดีอักเสบก็จะมีไข้ร่วมด้วย แต่ถ้าปวดบีบๆเป็นพักๆ แล้วท้องเสีย ก็น่าจะเป็นลำไส้มากกว่า

เหนือสะดือตรงกลาง หรือ ลิ้นปี่
ตรงนี้บางคนจะบอกว่า เจ็บหน้าอก (หรือปวดใจ)
เหนือสะดือ ด้านซ้าย
ตรงนี้กระเพาะอาหารก็เอาไปครองอีกนั่นแหละ แต่มีอวัยวะใกล้ๆคือม้าม และลำไส้ใหญ่ สำหรับม้ามปกติไม่ค่อยป่วยเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยส่งสัญญาณเจ็บป่วยอะไรบอกเรามากนัก ส่วนลำไส้ก็เจ้าเดิม ถ้าปวดบีบๆแล้วท้องเสีย ก็น่าจะติดเชื้อในลำไส้ (หรือท้องเสีย ท้องร่วง ที่เราเข้าใจกันนั่นเอง)

ปวดรอบๆสะดือ
อันนี้ง่ายมาก ตรงกลางท้องของเราเป็นที่อยู่ของลำไส้ยาวประมาณ 3 เมตรกว่าๆ ขดไปขดมาอยู่ในท้อง เวลาปวดตรงกลางก็เป็นจากลำไส้นี่แหละ ปัญหาคือความจริงแล้วลำไส้ยาวมาก แต่กลับแสดงอาการปวดรวมๆกันอยู่ที่เดียว คำว่าลำไส้นี้รวมไปถึง ไส้ติ่ง ที่เรากลัวกันด้วย แต่ไม่ต้องตกใจ หลายคนบอกว่า ก็ทุกคนบอกว่าไส้ติ่งต้องปวดทางขวาไม่ใช่เหรอ คำตอบคือ ใช่ แต่ช่วงแรกของการปวดนั้น มักจะเป็นรอบสะดือก่อน พอเป็นมากขึ้นถึงจะย้ายไปปวดทางขวา ถ้าปวดตรงกลางมาเป็นวันๆ ก็ยังอยู่ที่เดิม ก็คงจะไม่ใช่ แต่ถ้าเกิดต่อมาย้ายมาทางขวาละก็ ส่งสัยต้องไปหาหมอแล้วหล่ะค่ะ

ปวดท้องน้อยด้านขวา
มาถึงบริเวณอันเป็นที่ร่ำลือคือท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ของไส้ติ่งเล็กพริกขี้หนู (ขออธิบายก่อนว่าคำว่าท้องน้อยหมายถึงบริเวณใต้สะดือนะคะ) บริเวณนี้ความจริงมีอวัยวะหลายอย่างอยู่รวมกัน ได้แต่ ลำไส้เล็ก(ที่ยังคงขดไปมาอยู่ได้ทุกที่ในท้อง) ลำไส้ใหญ่ ไส้ติ่ง ไต ท่อไต และสำหรับคุณผู้หญิง ก็คือปีกมดลูกขวา และรังไข่ขวา ทุกอย่างเป็นต้นตอของอาการปวดได้หมด ขึ้นอยู่กับอาการอื่นที่มีร่วมด้วย และโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างเรา อาการปวดท้องน้อย อาจหมายถึงอาการของระบบสืบพันธ์ เช่น ปีกมดลูก หรือ รังไข่ และยิ่งไปกว่านั้น อาจสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ได้ เช่น ภาวะท้องนอกมดลูก ซึ่งจะเกิดตั้งแต่ท้องอ่อนๆ โดยที่บางคนยังไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองท้องแล้ว!!!!!

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย
อวัยวะก็เหมือนกับทางขวา แต่ไม่มีไส้ติ่ง และก็มีอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงอยู่เช่นกัน (อวัยวะสืบพันธุ์นั้นมีทั้งภายใน และภายนอกนะจ๊ะ) แต่สำหรับคนที่อายุมากหน่อย ซักประมาณ 50-60 ปีขี้่นไป หากมีอาการปวดมากเหมื้อนไส้ติ่ง แต่อยู่ทางซ้าย อาจเป็นอาการของ กระเปาะลำไส้อักเสบ(Diverticulitis) ซึ่งอาจแตกได้เหมือนไส้ติ่ง แต่ของย้ำว่ามักจะเกิดกับคนไข้อายุมาก คนไข้อายุน้อยพบได้น้อยมากค่ะ

ปวดท้องน้อยเหนือหัวหน่าว
บริเวณนี้เป็นตำแหน่งของ ลำไส้ใหญ่ และกระเพาะปัสสาวะ ส่วนในผู้หญิงก็จะมีมดลูกด้วย และบริเวณนี้เป็นบริเวณที่มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมาก ถ้าเกิดว่าบางคนเคยผ่าตัดมาก่อน เช่นผ่าคลอดบุตร หรือผ่ามดลูก หรือผ่าตัดไส้ติ่ง การผ่าตัดมักทิ้งผังพืดไว้ เหมือนกับแผลเป็น ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดได้ภายหลังการผ่าตัดเป็นปีๆ แต่อาการปวดเหล่านี้มักเป็นไม่มาก พอรำคาญ

จบกระบวนความเรื่องของตำแหน่งอวัยวะ หวังว่าจะช่วยไขข้อข้องใจให้หลายๆคนได้นะคะ แล้วไว้พบกันใหม่ค่ะ


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

กลัวเป็นไส้ติ่ง

เคยไหมเวลาที่ปวดท้องมากๆก็เลยรีบไปโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ความจริงแล้วหลายคนกลัวโรคไส้ติ่งอักเสบ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "ไส้ติ่ง" เพราะว่ากลัวการผ่าตัด และบางคนก็กลัวเพราะเคยได้ยินมาว่า ถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน เกิดไส้ติ่งแตกขึ้นมา อาจตายได้ เรื่องราวจริงๆของไส้ติ่งจะเป็นยังไง มาอ่านต่อกันทางนี้ค่ะ

ไส้ติ่งอักเสบเกิดจากอะไรนะ
คำถามแรกคือ คุณรู้จักคุณ"ไส้ติ่ง" มากแค่ไหน ต่างยังไงกับลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่นะ ความจริงก็ตามชื่อค่ะ ไส้"ติ่ง" มันได้ชื่อนี้มาเพราะว่ามันเป็นส่วนเล็กๆ ลักษณะคล้ายลำไส้ของเรานี้แหละ แต่เป็นฉบับจิ๋ว ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้นๆ หน้าที่ของมันทำอะไรก็ไม่ค่อยชัดเจน เพราะคนที่ตัดมันออกไปแล้วก็ใช้ชีวิตได้ปกติสุขดีไม่มีปัญหาอะไร

ไส้ติ่งอักเสบ, โรคภัยไข้เจ็บ,ปวดท้องน้อยด้านขวา, ปวดท้อง, ผ่าตัด, ปวดท้องน้อย


แล้วมันอักเสบได้ยังไง??
หลายคนคงจะเคยได้ยิน กินเม็ดฝรั่งแล้วจะเป็นไส้ติ่ง กินเม็ดแตงโมแล้วจะเป็นไส้ติ่ง ความจริงอันนี้ก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง ไส้ติ่งเกิดจากการที่มีเศษอาหารของเรานั้นไปอุดตันในรูเล็กๆของมัน พออุดตันสารต่างๆที่เยื่อบุของมันสร้างก็เกิดการอุดตัน เชื้อแบคทีเรียทั้งหลายในท้องเราก็เลยไปเจริญเติบโต กลายเป็นการอักเสบขึ้นมา (อักเสบ = ปวด บวม แดง) เป็นนานๆเข้าสารที่สร้างข้างในไส้ติ่งก็ยังสร้างออกมาเรื่อยๆ จนเกิดไส้ติ่งแตกได้นั่นเอง ทีนี้หลายครั้งที่หมอผ่าตัดไส้ติ่งออกมาแล้วก็พบว่า เจ้าเศษอาหารที่ว่านี้เป็นเมล็ดผลไม้เล็กๆ อย่างเมล็ดฝรั่ง ที่ร่างกายของเราย่อยไม่ได้ (ปกติแล้วจะถูกขับออกทางอุจจาระได้) บังเอิญผลัดหลงไปอุดอยู่ในไส้ติ่งนี่แหละ ก็เลยเป็นที่มาของความเชื่อว่า กินเม็ดฝรั่งแล้วจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งแตกแล้วจะตายจริงๆเหรอ??
คำตอบคือ มีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ไส้ติ่งแตกจะต้องเสียชีวิตนะคะ เพียงแต่ว่าถ้าไส้ติ่งแตกแล้ว มันเหมือนสิวแตกหน่ะค่ะ เจ้าหนองเอย อะไรเอยก็ไหลออกมาหมด แต่คุณเช็ดออกไม่ได้เหมือนหัวสิว อันนี้มันแตกแล้วก็นอนเล่นอยู่ในท้องของเราต่อไป ไปก่อให้เกิดการระคายเคืองอวัยวะอื่นๆ และอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่กระแสเลือดต่อไป และถึงเสียชีวิตได้จริงๆ ถ้าผ่าตัดล้างเอาหนองออกไม่ทัน

นอกจากนั้นแม้การผ่าตัดจะสำเร็จไปด้วยดี แผลผ่าไส้ติ่งอักเสบธรรมดา กับแผลผ่าไส้ติ่งที่แตกแล้วก็ไม่เหมือนกันนะคะ นอกจากแผลจะใหญ่กว่าแล้ว แผลไส้ติ่งที่แตกก็ยังมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าด้วย เหมือนเวลาถุงขยะรั่วหน่ะค่ะ นอกจากต้องเอาถุงนั้นไปทิ้งแล้ว จะต้องค่อยตามเช็ดน้ำเหม็นๆที่ไหลออกมาจากถุงขยะด้วย และก็มีโอกาสที่จะเช็ดไม่หมด จริงมั๊ยคะ

อาการยังไงนะ ที่สงสัยว่าจะเป็นไส้ติ่ง
โดยทั่วไปที่เรารู้ๆกันก็คือเป็นปวดท้องน้อยด้านขวา ถูกต้องค่ะืผู้ป่วยที่เป็นไส้ติ่งอักเสบทุกคนปวดท้องน้อยด้านขวา โดยที่ช่วงแรกถ้าสังเกตดีๆ จะเริ่มจากอาการปวดรอบสะดือก่อน ต่อมาถึงได้ย้ายมาปวดที่ท้องน้อยด้านขวา ลักษณะอาการปวดก็มึมากมายหลายแบบแล้วแต่คนจะอธิบาย จี๊ดๆบ้าง บีบๆบ้าง ตื้อๆบ้าง นอกจากนี้ก็มักจะมีอาการเบื่ออาหาร และคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย บางคนท้องเสียเลยทีเดียว สำหรับระยะเวลาก็มีส่วนช่วยบอกว่าเราเป็นไส้ติ่งหรือไม่ บางคนบอกว่ามีอาการที่กล่าวมาทั้่งหมด แต่เป็น 4 วันแล้ว อันนี้ก็คงต้องบอกว่าไม่น่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบ ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยจนต้องมาพบแพทย์ภายใน 48 ชั่วโมง ตั้งแต่เริ่มเกิดอาการ ถามว่าถ้าเป็นจริงๆแล้วไม่ยอมมาหาหมออาการจะเป็นยังไง ก็คือถ้าไส้ติ่งแตกแล้วอาการจะปวดทั่วๆท้อง เริ่มมีไข้ เหงื่ออก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ถึงกับหมดสติได้ นั่นก็คืออาการของภาวะช็อคนั่นเอง

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยของแพทย์นั้น จากอาการที่ผู้ป่วยบอกเล่าเองก็ไม่ค่อยพอ อย่างที่รู้กัน อาการปวดแต่ละคนก็อธิบายไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะปวดจี๊ดๆ ปวดบีบๆ แสบๆ หรือยังไงก็ตาม ความ"ทน" ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนปวดนิดเดียวจะเป็นจะตาย บางคนปวดมากแล้วก็ยังทนไหว บางคนอยู่กับแฟนปวดนิดปวดหน่อยก็เลยทำเวอร์อ้อนแฟน แต่พออยู่คนเดียวยังเล่นบาสได้ก็มี 555 สรุปว่าอาการจากการบอกเล่านั้นประเมินได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายแล้วแพทย์ก็ต้องใช้การตรวจร่างกาย(ก็คือที่เอาหูฟังมาฟังๆ เอามือไปกดๆนั่นแหละ) และผลการเจาะเลือดในการวินิจฉัย สรุปแล้วถ้าเกิดใครสงสัยว่าตัวเองจะเป็นไส้ติ่ง อ่านดูแล้วคล้ายๆกับตัวเองก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจร่างกาย และเจาะเลือดอีกทีนะคะ

อีกสิ่่งที่อยากจะบอก บางครั้งหมออย่างเราๆก็ฟันธงอย่างคุณหมอดูดวงไม่ได้ เพราะว่าฟังจากอาการ การตรวจร่างกาย และผลเลือด ทุกอย่างก้ำกึ่งไปหมด ไม่แน่ใจ บางครั้งก็อาจต้องให้ดูอาการไปก่อนซักพัก จนอาการชัดเจนขึ้นถึงจะวินิจฉัยได้

ถามว่าไม่รู้ว่าเป็นรึเปล่า ผ่าตัดไปเลยก็ได้ จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไป ไม่ได้เหรอ?? หมอก็ขอบอกทุุกท่านว่า การผ่าตัดทุกอย่างมีความเสี่ยงของมันอยู่ หมอทุกคนถูกสอนให้เลือกสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดก่อนเสมอ ถ้าอาการยังไม่ได้อยู่ในภาวะอันตรายมาก การรอดูอาการจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากกว่าสำหรับคนไข้ค่ะ อย่าพึ่งอยากเจ็บตัวเลย

การรักษา
แน่นอนการรักษาไส้ติ่งอักเสบ ก็คือการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก ไม่ว่ามันจะแตกแล้ว หรือยังไม่แตกก็ตาม ถ้ายังไม่แตกเราก็จะได้แผลเล็กๆที่หน้าท้องด้านซ้าย แต่ถ้าแตกแล้วก็อาจจะได้แผลใหญ่หน่อย ส่วนบางโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์พร้อมก็อาจจะได้ผ่าตัดแบบส่องกล้องมีแผลที่เล็กมาก ประมาณ 1-2 ซม. แทน

ถ้าไส้ติ่งแตกแล้ว อย่างที่ได้บอกไปว่าเหมือนถุงขยะรั่ว ถ้าเกิดล้างออกได้ไม่หมด มีโอกาสที่จะเกิดแผลติดเชื้อทำให้ต้องล้างแผลนานขึ้น และต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น

ถามว่าเป็นซ้ำได้มั๊ย??
ไส้ติ่งตัดไปแล้ว ไม่อักเสบซ้ำแน่นอนค่ะ (เพราะไม่มีให้อักเสบอีกแล้วไง 555) แต่บางคนอาจมีปัญหาต่อจากผังผืดจากการผ่าตัด อาจมีอาการเจ็บแปล๊บๆ หรือตึงๆที่แผลเวลาขยับตัวหลังการผ่าตัดนานๆไปแล้วได้ อาการเหล่านี้ไม่อันตราย เพียงแต่น่ารำคาญ จะรักษายังไง ก็เป็นแค่ตามอาการคือ ปวดก็ทานยาแก้ปวดเอานะคะ

สุดท้าย คนที่เคยผ่าตัดไส้ติ่งแล้ว แผลผ่าตัดเนี๊ยจะเป็นเหมือน Signature ของการผ่าตัดไป แพทย์เกือบทุกคนถ้าเห็นแผลก็จะรู้ว่าคุณไม่มีไส้ติ่งแล้วค่ะ

จบเท่านี้สำหรับวันนี้ ขอให้ทุกคนสุขภาพดี ไร้โรคภัยไข้เจ็บนะคะ

------------------------------------------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องสิวๆ เขารักษากันยังไง (2)

ย้อนหลังไปประมาณ 20 ปีก่อน การไปหาหมอเพื่อรักษาสิวนั้น ถ้าไม่ใช่สิวที่เยอะมากจนหน้าไม่มีที่ว่าง ก็ถือเป็นเรื่องค่อนข้างจะเว่อร์ไปซักเล็กน้อย แต่ในปัจจุบันการไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิว เพื่อรักษาให้หน้าใสนั้น เป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็ทำกันไปแล้ว เหมือนโทรศัพท์มือถือที่เคยเป็นเครื่องประดับสำหรับคนรวยเท่านั้น แต่ตอนนี้แม้แต่ขอทานยังมีโทรศัพท์เลย วันนี้เราจะมาเล่ากันต่อว่า ที่เขาไปรักษาสิวที่คลินิกกันเนี๊ย เขาทำอะไรกันบ้างจากความเดิมตอนที่แล้ว (เรื่องสิวๆ เขารักษากันยังไง) เราได้พูดถึงยารักษาสิวที่ทาภายนอกไปแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงยากิน!!!

หลายคนสงสัยว่า แค่เป็นสิวนะ ต้องกินยาเลยหรือ คำตอบก็คือ การกินยาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้สิวหายเร็ว และป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ดี แต่เรามักจะใช้กับคนที่เป็นสิวเยอะๆ ถ้าเป็นนิดๆหน่อยๆ ก็คงไม่ถึงขนาดจำเป็นต้องกินยาเท่าไหร่นัก

ยากิน
ที่นิยมกินกัน ก็มีหลักๆ 2 อย่างคือ
1. ยาฆ่าเชื้อ ก็อย่างที่เคยเล่าไป สิวอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ ขอย้ำว่าอักเสบ ดังนั้นถ้าไม่ได้มีสิวเม็ดโตๆ แดงๆ เจ็บๆ เยอะๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อเท่าไหร่ ทายาไปก่อนก็ได้นะคะ หรือบางคนมีสิวเม็ดเดียวเนี๊ยแหละ แต่ว่ามันโตเหลือเกิน ระบมไปหมด จะกินยาเราก็ไม่ว่ากัน ยาที่ให้ก็มักเป็นยาคุ้นเคยอย่าง Amoxicilln (เป็นยาแก้เจ็บคอสำหรับบางคนไปแล้ว บางคนเรียกยาแก้อักเสบ ความจริงแล้วมันเป็นยา"ฆ่าเชื้อ" นะคะ ฆ่าเชื้อสำหรับสิวก็ได้เด้อ) หรือ Doxycycline หรือ บางคนอาจจะได้ Bactrim มา ถามว่าต่างกันยังไง เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว มีหลายชนิดค่ะ ยาฆ่าเชื้อเหล่านี้ครอบคลุมเชื้อต่างกันไป แต่ยาทั้ง 3 ตัวนี้สามารถครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ทำให้เกิดสิวทั่วๆไปได้ทั้ง 3 ตัว ส่วนจะกินตัวไหนดีนั้น ถ้าไม่เคยแพ้ยาอะไรก็สามารถกินอันไหนก็ได้ (ความจริงรายละเอียดปลีกย่อยก็มีอยู่บางกรณี แต่ขอเล่ารวมๆละกันนะคะ ไม่อย่างงั้นอาจจะกลายเป็น Lecture นักศึกษาแพทย์ไปได้)
สิว, รักษาสิว, กดสิว,บีบสิว, ฉีดสิว, diary doctor is me, สวยด้วยหมอ


2.ยากลุ่มกรดวิตามิน A หรือ Retinoid เจ้าเก่า เหมือนยาทานั่นแหละค่ะ แต่เมื่อกลายเป็นยากิน ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง ผลก็คือหน้าจะมันน้อยลง สิวอุดตันก็จะน้อยลง และสิวอักเสบก็จะน้อยลงตามไปด้วย ยากลุ่มนี้เดินไปร้านขายยาก็จะมีหลายยี่ห้อ เช่น Roocutane, Acnotin ชื่อตัวยาคือ Isotretinoin ผลข้างเคียงของยาตัวนี้ที่เป็นเกือบทุกคนคือ ปากแห้ง (ก็แหงหล่ะ ขนาดหน้ามันๆยังเนียนได้ทั้งวัน ปากก็ต้องแห้งเป็นธรรมดา) มีบางคนที่อาจมีอาการท้องเสีย ปวดท้องร่วมด้วย สิ่งทีต้องระวังสุดคือ ยาตัวนี้มีผลกับเด็กในครรภ์ คือทำให้เกิดการพิการได้จนถึงเสียชีวิต ในต่างประเทศ แพทย์จะสั่งยานี้ได้ต่อเมื่อคนไข้ได้รับการตรวจปัสสาวะแล้วว่าไม่ได้ตั้งครรภ์(สำหรับผู้หญิงก็พอนะจ๊ะ)  และระหว่างที่กินยาอยู่ ต้องกินยาคุมกำเนิดด้วย นอกจากนี้ยาอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ แต่ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับปริมาณ ปกติเราให้กินไม่เกิน 1 mg/kg/day ซึ่งที่คนไทยกินๆกัน กันวันละเม็ด สองเม็ดก็ไม่เคยเกินอยู่แล้ว แต่ถ้ากินไปกินมาแล้วตัวเหลืองตาเหลือง ปวดชายโครงต้องรีบไปพบแพทย์นะจ๊ะ แต่ถ้าใครไม่สบายใจจะไปขอตรวจเลือดที่โรงพยาบาลก็ดีนะคะ จะได้นอน(ตาย)ตาหลับ^^
สิว, รักษาสิว, กดสิว,บีบสิว, ฉีดสิว, diary doctor is me, สวยด้วยหมอ


ฉีดสิว
โอ๊ย อยากสวยหน้าเนียนใส ก็ต้องทนเจ็บจริงๆ ว่าด้วยเรื่องการฉีดสิว ใหม่ๆถ้ายังไม่เคยฉีด เวลาเป็นสิวเม็ดโตๆขึ้นมาที กลุ้มใจ กว่าจะหายอีกเป็นอาทิตย์ๆ นั่งเฝ้ารอดูจากเล็กๆ เริ่มใหญ่ เริ่มสุก แตก เป็นรอยแดง เป็นรอยดำ ค่อยๆจาง จาง จางจาง กว่าจะเรียบเหมือนเดิม ใจจะขาด พอได้เริ่มฉีดสิวครั้งแรก เจ็บก็เจ็บ แต่ "ยุบ!!!" เลย ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ยิ่งถ้าฉีดเร็วตอนที่ยังแค่เจ็บๆ "หาย!!" เลย เลิศสุดๆจริงๆ ว่ากันด้วยเรื่องสรรพคุณการฉีดสิวไปแล้ว แล้วที่ฉีดไปหน่ะ อะไร??? ตอบเลย Steroid (สเตียรอยด์) บางคนก็ยังงง Steroid คืออะไรหล่ะ เป็นยากดภูมิคุ้มกันอย่างหนึ่ง ว่าง่ายๆคือลดการอักเสบ(อักเสบ = บวม แดงร้อน) พอฉีดปุ๊บ สิวที่กำลังจะอักเสบก็ถูกยับยั้งทันที ยุบเลย แล้วเราก็ทายาฆ่าเชื้อเอา เชื้อโรคก็ตายหมด สิวก็ไม่โต ดีจะตาย แล้วมีข้อเสียไหม ก็มี ได้แก่ เจ็บตัว เสียตังค์ (อันนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว) และที่คนกลัวคือ ถ้าได้รับในปริมาณที่เยอะไป ตรงนั้นอาจบุ๋มลงไปกว่าเนื้อข้างๆ หรือบางคนก็บอกว่าเป็นหลุมสิว ฟังดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่หลุมสิว แต่เป็นผลจากการที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังตรงที่ได้ยานั้นฝ่อ ก็เลยเห็นผิวหนังยุบลงไป โดยทั่วไปมันจะกลับมาเท่าเดิมได้ค่ะ แต่อาจใช้เวลาหน่อยเป็นเดือน อันนี้ก็แล้วแต่คนว่าอยากจะฉีดไหม ถ้าฉีดโดยผู้ชำนาญส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ ลองดูจะติดใจ

กดสิว
อันนี้ก็เจ็บตัวอีกเหมือนกัน แต่เชื่อว่าหลายคนคงเคยกดสิวตัวเอง หรือบีบสิวตัวเองอยู่ ก็เห็นมีหัวหนองขาว หรือเห็นหัวดำๆกดออกมาก็หายแล้ว จริงค่ะ กดออกมาก็หายแล้ว แต่มีข้อแม้นะคะ
-ห้ามกดสิวที่อักเสบ กดได้แต่สิวอุุดตันที่ยังไม่มีการบวมแดงเท่านั้น
-ต้องกดน้อยครั้ง(ต่อเม็ด)
-ถ้าจะกดแล้วต้องออกหมด
ทำไม? เพราะว่าถ้าสิวอักเสบอยู่ ถูกบีบถูกกด ก็มีแต่จะยิ่งบวมขึ้นแดงขึ้น ไม่หายหรอกค่ะ แล้วที่ให้กดน้อยครั้ง เพราะโอกาสกลายเป็นรอยดำจะน้อยลง ถ้ากดน้อยครั้งจะทิ้งรอยแดงแค่ 4-5 วัน แต่ถ้ากดๆ เค้นๆละก็ เป็นรอยดำอีกเป็นเดือนเลยทีเดียวนะคะ และต้องกดออกให้หมด เพราะถ้าไม่หมด หัวที่เหลืออยู่ รวมกับการรบกวนมันด้วยการกดบีบ พรุ่งนี้กลายเป็นสิวอักเสบแน่นอน รับประกันค่ะ แนะนำว่าถ้าอยากกด ทายาละลายหัวสิวซัก 4-5 วันเป็นอย่างน้อย แล้วไปให้คลินิกผิวหนังกดออกให้จะดีกว่านะคะ
สิว, รักษาสิว, กดสิว,บีบสิว, ฉีดสิว, diary doctor is me, สวยด้วยหมอ


แต่เอาจริงๆแล้วแพทย์ผิวหนังหลายท่านก็เห็นด้วยกับการกดสิวสักเท่าไหร่ เนื่องจากเมื่อกดแล้วมักจะทิ้งรอยแดงไว้ และเชื่อว่าเป็นการทำร้ายผิว มีโอกาสทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น ก็แล้วแต่เทคนิคใครเทคนิคมันค่ะ ไม่มีใครถูกใครผิดหรอกค่ะ เหมือนไข่เจียวบางคนให้ใส่น้ำ บางคนให้ใส่นม จบที่อร่อยเหมือนกันค่ะ

ฉายแสง
อันนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ เข้าเมืองไทยมาก็ไม่นานเท่าไหร่ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักด้วยซ้ำ ฟังดูคล้ายๆฉายแสงมะเร็ง แต่คนละอันนะคะ แสงอันนี้คือ Magenta light แปลตามชื่อก็คือแสงสีม่วง แล้วมันดียังไง มีการศึกษาว่าแสงความยาวคลื่นช่วงหนึ่่ง สามารถทำลายแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิวได้ และมีผลทำให้ต่อมไขมันทำงานน้อยลง เวลาจะฉายก็ไปนอนอังหลอดไฟสีม่วงๆนี่แหละค่ะ ไม่เจ็บไม่ปวดแต่อย่างใด จะเห็นผลก็ต้องทำไปซักพัก แต่ที่เคยเห็นมาก็ยังต้องรักษาร่วมกับการใช้ยานะคะ ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่าไหร่ในเมืองไทย

การป้องกันสิวเกิดใหม่
การรักษาที่ว่ายากแล้ว การป้องกันยากยิ่งกว่า เหมือนเวลาเห็นใครซักคน วัวหายแล้วล้อมคอก ความจริงเขาก็ไม่ได้ผิดอะไรนะคะ ทุกๆอย่างเราก็เรียนรู้จากประสบการณ์ทั้งนั้น เพียงแต่อย่างให้ผิดซ้ำๆก็แล้วกัน นอกเรื่องไปไกล กลับมาเรื่องการป้องกันสิว พูดแบบง่ายมากๆก็คือ "หลีกเลี่ยงสาเหตุของสิว"ไง พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะว่าสาเหตุสิวมีล้านแปด จะบรรยายยังไงก็ไม่หมด

แต่คิดง่ายๆ การเกิดสิวมีทางที่ทุกสาเหตุมาบรรจบกันคือ เกิดการอุดตันรูขุมขน แล้วก็เกิดการอักเสบ ดังนั้นก็ต้องป้องกันการ "อุดตันของสิว" ไง
- เริ่มด้วยการทำความสะอาด ให้ผิวหน้าสะอาดอย่างหมดจด วันละ 2 ครั้งก็พอ เรื่่องผลิตภัณฑ์อันนี้คงไม่มีกฎตายตัว ใช้ผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับสภาพผิวก็พอ ยังไงก็ต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกอยู่ดี เพราะลางเนื้อชอบลางยาจริงๆนะเธอ ที่สำคัญถ้าแต่งหน้า หรือใช้ครีมกันแดด ก็ต้องล้างด้วยที่ล้างเครื่องสำอางค์ให้สะอาดก่อน
- ถ้าหน้ามัน อุดตันบ่อย และเป็นสิวง่าย ยาละลายหัวสิวไม่ควรหยุดใช้ แม้ว่ารักษาสิวหายแล้ว ควรใช้ต่อ เพื่อป้องกันสิว
- ดูแลและสังเกตผิวตัวเองอยู่เสมอ เริ่มมีสิวอุดตันรึเปล่า ตรงไหนบ้าง รีบกำจัดก่อนที่จะเกิดปัญหาลุกลาม

สรุปสุดท้ายที่อยากจะกล่าวคือ สิว ไม่มีทางหายขาด ไม่ว่าจะไปรักษากับเทวดาที่ไหนก็ตาม เพราะสิวเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าผิวของเราเกิดสิวได้ง่าย ก็คงต้องยอมรับว่าผิวของเราจำเป็นต้องได้รับการดูแลมากกว่าคนอื่น ก็ผิวของเรานี่ ถ้าเราไม่ดูแล ใครที่ไหนจะดูให้ จริงมั๊ย เพราะถ้าถามว่าสิวขึ้นที่ไหนกลุ้มใจน้อยสุด คำตอบก็คือ หน้าคนอื่นไง 555

แล้วพบกันใหม่ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องสิวๆ เขารักษากันยังไง

สิวเป็นปัญหาผิวหน้าที่พบได้บ่อยที่สุด คนส่วนใหญ่เคยมีสิว และสิวสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ การแก้ปัญหาของแต่ละครก็แตกต่างกันไป บางคนซื้อเครื่องสำอางค์มาลองใช้ ที่ดขาโฆษณากันว่ารักษาสิว บางคนก็ใช้ยาสามัญประจำบ้านอย่างผงวิเศษ ผลิตภัณฑ์สารพัดนึกอย่างบัวหิมะ บางคนไปซื้อยาตามร้ายขายยา และบางคนก็ตัดสินใจไปหาหมอ ไม่ว่าจะเป็นคลินิกผิวหนัง ที่ตอนนี้ไม่ได้ดูแลแต่ผิวหนัง (แต่รวมถึง Botox, filler, ร้อยไหม จนถึงเสริมจมูกเลยทีเดียว) หรือจะเป็นโรงพยาบาลเลยก็ตาม วันนี้จะมาบอกเล่าเก้าสิบ เกี่ยวกับการรักษาสิวตามคลินิกความงามนี่แหละ ว่าเค้าทำอะไรกันบ้าง แล้วที่ว่าเลี้ยงไข้เนี๊ย มีจริงหรือไม่
สิว,รักษาสิว, ยารักษาสิว, หมอสิว, รักษาสิวยังไง, Diary Doctor is me, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้

สิวเกิดจากอะไร
ปูพื้นฐานกันก่อน สิวคือการอักเสบของต่อมไขมันที่รูขุมขน
การอักเสบ=บวมแดง ซึ่งมักจะเกิดจากการติดเชื้อ
รูขุมขนก็คือรูๆเล็กบนผิวหนังเรา บางคนกว้าง บางคนเล็กจนแทบไม่เห็น อันนี้ก็แล้วแต่กรรมพันธุ์ ร่วมกับการดูแลผิวหน้าของเราเองนะคะ รูขุมขนนึกถึงท่อระบายน้ำอันใหญ่ของหมู่บ้าน แล้วมีต่อมไขมันมาเปิดออกตามรูขุมขน เหมือนท่อเล็กจากบ้านต่างๆ ที่ระบายน้ำออกสู่ท่อระบายใหญ่อันเดียวกัน การอักเสบมักจะเริ่มจากมีการอุดตันของรูขุมขน นึกถึงเวลาท่อระบายอันใหญ่อุดตัน ของเสียก็ระบายออกไปได้ ขังอยู่ในท่อ และยังเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าก็เริ่มส่งกลิ่มเหม็นเน่า

เหมือนกันพอรูขุมขนอุดตัน ไขมันที่ต่อมไขมันสร้างก็พากันอุดตันสะสม กลายเป็นสิวอุดตันก่อน คือสิวเม็ดเล็กๆที่ยังไม่เจ็บ ไม่บวม แต่จับแล้วเหมือนผิวเราไม่เรียบ วันดีคืนดี มีเจ้าแบคทีเรียมาเยี่ยมเยียน สิวอุดตันก็กลายเป็นสิวอักเสบขึ้นมา บวมแดวเป่ง ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แล้วแต่ดีกรีของเสียที่สะสมไว้ สรุปว่าสิวบนหน้าเรา แบ่งใหญ่ๆออกเป็น 2 แบบ คือ สิวอักเสบ กับ สิวอุดตันนะคะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวจึงมาได้มากมาย ตั้งแต่ฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างน้ำมันบนหน้ามากขึ้น(จนทอดไข่ได้) การทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอ นอนดึก เครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ทำให้เกิดการอุดตัน หรือแม้แต่การจับหน้าบ่อยๆ ล้างหน้าบ่อยๆก็กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบได้ ส่วนความเชื่อบางอย่างเช่น กินช็อกโกแลตแล้วสิวขึ้น กินอาหารมันๆแล้วสิวขึ้น อันนี้ความจริงแล้วก็ยังไม่ได้มีการศึกษาใดที่พิสูจน์ได้ชัดเจน เอาเป็นว่าใครทดลองกับตัวเองแล้วคิดว่าเป็นจริง ก็หลีกเลี่ยงกันไปนะคะ

หลักการรักษาสิว ก็ง่ายนิดเดียวค่ะ
1.กำจัดสิวเก่า
2.ป้องกันสิวใหม่

กำจัดสิวเก่า
-ยาทา ก็จะแบ่งเป็น

"รักษาสิวอักเสบ" ก็คือ

ยาฆ่าเชื้อนั่นเอง ตัวยาหลักๆก็จะมี Erythromycin หรือ Clindamycin รูปแบบก็แล้วแต่คลินิกจะเลือกมาใช้ มีทั้งเป็นน้ำ เป็นเจล ผลการรักษาก็ไม่ต่างกันมากค่ะ ต่อมาก็จะเป็น

"รักษาสิวอุดตัน" อันนี้ก็จะเป็นยาที่เรียกกันว่า ยาละลายหัวสิว ที่นิยมใช้กันมากคือ

Penoxyl peroxide ซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อมันละลายหัวสิวยังไงกัน ความจริงแล้วมันช่วยสลายเซลล์ที่ตายแล้วออก และมีของแถมเป็นฤษธิ์ฆ่าเชื้อร่วมด้วย แต่นึกถึงยาที่ "ละลาย" เซลล์ได้ ความจริงสารเคมีพวกนี้ไม่รู้หรอกว่าเซลล์ไหนยังมีลมหายใจอยู่ ดังนั้นถ้าใช้เยอะไปมันก็อาจจะทำร้ายผิวดีๆของเราได้ สัญญาณก็คือ ผิวจะแดง ระคายเคือง บางคนจะแสบ เราจึงแนะนำให้ใช้ก่อนล้างหน้า ทิ้งไว้ ซักพัก แล้วค่อยล้างออก คำว่าซักพักนี้ก็แล้วแต่คน ส่วนใหญ่ 15-20 นาที ถ้าทิ้งนานกว่านั้ยแล้วไม่ระคายเคืองก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าระคายเคืองก่อนก็อาจจะต้องลดเวลาลง ยาตัวนี้หาซื้อได้ตามร้านขายยา แต่บอกตัวยาไปบางร้านจะงง ต้องบอกชื่อยี่ห้อ เช่น Panoxyl, Benzac, Brevoxyl ฯลฯ ความเข้มข้นก็มีตั้งแต่ 2.5%, 5% ,10% แนะนำให้ลองน้อยๆก่อน ถ้าไม่ระคายเคืองค่อยเพิ่มค่ะ

Retinoid หมอบางคนจะอธิบายว่าเป็นกรดวิตามิน A (อันนี้ไม่ได้เอาไว้กินนะคะ เอาไว้ทาภายนอกเท่านั้นค่ะ) ชื่อ Retinoid เป็นกลุ่มของสาร ซึ่งบริษัทยาแต่ละที่ก็จะใช้สารที่มีชื่อต่างกันไป เช่น Tretinoin(Retin A), Isotretinoin, Adapalene(Differin) ยาเหล่านี้เข้าไปปรับเซลล์ผิว ทำให้สิวอุดตันลดลง มีของแถมคือ ช่วยลดริ้วรอยได้ด้วย ข้อเสียของยานี้คือเมื่อถูกแสง ไม่ว่าจะเป็นแดด หรือแสงจากหลอดไฟ มักทำให้ระคายเคือง เราก็จะแนะนำให้คนไข้ทาก่อนนอน แต่ Adapalene เขาโฆษณาว่ายาของเขา ไม่ทำปฏิกิริยากับแสง ก็เลยแพงกว่าตัวอื่น แต่ก็ยังมีบางคนที่แสบเวลาถูกแดดอยู่ ก็เลยแนะนำให้ใช้เฉพาะก่อนนอนเหมือนเดิมค่ะ

วันนี้ข้อมูลทางการแพทย์เยอะแยะ อ่านแล้วอาจจะมึนหัว อย่าพึ่งเครียดจนสิวขึ้นหนักกว่าเดิมนะคะ ยาทั้งหมดที่เล่ามา ลองหาซื้อมาทาเองก่อนก็ได้ สอบถามจากเภสัชกรตามร้านขายยาเพื่อคำแนะนำเพิ่มเติมได้ค่ะ ส่วนยาตามคลินิกที่ไม่ได้เขียนตัวยา แปะแต่ป้ายคลินิกบนหลอด ก็หนีไม่ค่อยพ้นยาที่เล่ามานี่หรอกค่ะ แต่ส่วนใหญ่ราคาจะแพงกว่า (ถือว่าเป็นค่าขนมให้หมอแล้วกันนะคะ คลินิกส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยคิดค่าหมอหรอกค่ะ)

วันนี้ขอจบลงตรงเรื่องยาทาก่อน ส่วนหัวข้ออื่นๆอันได้แก่ ยากิน การกดสิว ฉีดสิว ฉายแสง  และการป้องกันสิว ไว้มาติดตามกันตอนต่อไปนะคะ (หลอกล่อให้เข้ามาอ่านกันบ่อยๆ อิๆ)

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปวดท้อง อะไรยังไง

ปวดท้อง, diary.doctor is me, อาการปวด, สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้



ทุกๆคนคงเคยมีอาการปวดท้องมาก่อนในชีวิตนี้ มากบ้าง น้อยบ้างแต่ละครั้งก็แตกต่างกันไป 
ถามว่าปวดท้องแล้วทำไง คนส่วนใหญ่คงเริ่มจากทนก่อน เผื่อว่าอาการมันจะหายไปเอง หลังจากทนไปหน่อยแล้วยังไม่หายก็เริ่มมองหาตัวช่วย ถ้าเป็นเด็กก็คงขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้่วก็ถามหาเอาจากคนที่คิดว่ารู้มากกว่า หรือง่ายๆ คิดไม่ออกก็ไปที่ร้านขายยา ให้หมอยาช่วยจัดยาให้ ตามสไตล์คนไทยเรา ไม่ไหวจริงๆก็ค่อยไปพบแพทย์

คำถามที่หลายาคนมักจะถามหมอ หลังได้รับการตรวจคือ เป็นจากอะไร?

ก่อนอื่นมาตอบคำถามกันก่อนว่า อาการปวดท้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร

อาการปวดเป็นความรู้สึกของร่างกายที่รับรู้ผ่านทางเส้นประสาทที่แผ่ทั่วร่างกาย เหมือนสัญญาณโทรศัพท์ที่แผ่ไปทั่วประเทศ เมื่อส่วนไหนเกิดอาการปวดที่รีบโทรศัพท์ หรือส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อบอกให้สมองรู้ว่าส่วนไหนที่มีอาการปวด และอาการปวดเป็นอย่างไร เหมือนโทรเข้าหา Call Center อย่างไรอย่างนั้น

แต่สัญญาณแบบไหนบ้างที่สมองรับรู้ว่าเป็นความปวด??
ต้นกำเนิดของความเจ็บปวดในร่างกายของเราแบ่งออกเป็น  3 ประเภท คือ
1. ความเจ็บปวดโครงสร้างของร่างกาย (Somatic pain) (ที่ไม่ใช่อวัยวะภายใน) เช่น ความเจ็บปวดจากผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือ กระดูก 
ความเจ็บปวดแบบนี้ เราจะสามารถบอกตำแหน่งได้ชัดเจนว่าปวดตรงจุดไหน เจ็บที่ไหน และบริเวณที่เจ็บนั้นมักจะเป็นต้นตอของอาการเลย และอาการปวดมักจะปวดแบบจี๊ด หรือโดนมีดบาด ทั้งคมทั้งชัด
พวกนี้เหมือนโทรศัพท์มือถือ มีกันคนละเครื่อง เวลาได้รับแจ้งเหตุก็ชี้ได้เลยว่าใครเป็นคนแจ้งจากเบอร์โืทรศัพท์ที่แจ้งเหตุ
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นบาดแผลตามร่างกาย แผลอยู่ตรงไหน เจ็บตรงนั้น บอกตำแหน่งได้ชัดเจน

2. ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน (Visceral pain) เช่น ปวดตับ ไต ลำไส้ กระเพาะ พวกนี้จะบอกตำแหน่งได้ไม่ชัดเจน ถ้าต้นตอของอาการปวดมากจากอวัยวะที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน อาการปวดจะแสดงออกมาเหมือนปวดที่เดียวกัน ลักษณะอาการจะปวดจะตื้อๆ แน่นๆ จุกๆ คล้ายๆกันไปหมด
เหมือนใช้โทรศัพท์บ้าน หรือสำนักงาน โทรไปแจ้งเหตุ ถ้าดูจากเบอร์โทรศัพท์ก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนแจ้ง รู้แต่ว่ามาจากตึกนี้ สถานที่นี้
ยกตัวอย่างเช่นอาการปวดท้องเป็นได้ทั้ง ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ โรคกระเพาะ โรคตับ ถูงน้ำดี ฯลฯ เพียงแต่ลักษณะรายละเอียดอาการของแต่ละโรคจะแตกต่างกันไป ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่าอาการปวดท้องของแต่ละคน มีต้นตอมาจากอวัยวะอะไร ดังนั้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการแก่แพทย์ เป็นสิ่งสำคัญ การให้ประวัติที่ไม่ตรงความจริง อาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาด และการรักษาที่ไม่ตรงจุดได้

3. ความเจ็บปวดจากอวัยวะข้างเคียง (Refer Pain) อันนี้ออกจะเข้าใจยากซักหน่อย เหมือนกับเหตุร้ายเกิดกับเพื่อนบ้าน แต่เพื่อนบ้านมาขอใช้โทรศัพท์เราโทรไปแจ้งเหตุ จริงปัญหาเกิดที่เพื่อนบ้าน แต่ถ้าดูจากเบอร์โทรก็เลยเหมือนเหตุเกิดที่เรา อันนี้ทางการแพทย์อธิบายว่าเส้นประสาทของอวัยวะ A กับ B ที่อยู่ใกล้เคียงกัน บางทีใช้ทางเดินเส้นประสาทร่วมกัน แต่พอไปถึงสมอง กลับแปลว่าความเจ็บปวดอยู่ที่ B ถ้า B ผิดปกติจริง อาการปวดก็จะตรงกับตำแหน่งความผิดปกติ แต่ถ้าความจริงเป็น A ที่ผิดปกติ อันนี้ก็จะเกิดอาการสับขาหลอกกันเลยทีเดียว
ยกตัวอย่าง บางคนอาจเคยประสบกับตัวเองที่รู้สึกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก แต่หลังจากแพทย์ตรวจแล้วกลับบอกว่า เป็นโรคกระเพาะ???? อันนี้ก็อธิบายด้วยกลไกเดียวกันนี้นั่นเอง

สำหรับอาการที่พบบ่อยๆอย่าง ปวดท้องบิดๆ อยากถ่าย แล้วก็ท้องเสียเป็นถ่ายเป็นน้ำ อันนี้ก็คงบอกได้ว่า ปวดท้องนี้มากจากลำไส้อักเสบ แต่ถ้าปวดท้องลิ้นปี่เวลากินอาหารรสจัดๆ หรือเวลาท้องว่าง ก็น่าจะเป็นอาการปวดจากโรคกระเพาะ แต่อาการปวดบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย เช่นปวดจี๊ดๆตลอดเวลา ลองทนก็ไม่หาย ถ่ายก็ไม่ถ่าย อยู่ๆก็เป็นขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คิดไม่ออกว่าเป็นจากอะไร อันนี้อาจจะต้องไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องต่อไปนะคะ


วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่เห็น ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เป็น (T.T)

ชีวิตหมอ, วิชาชีพแพทย์, ความจริงของแพทย์, ชีวิตแพทย์, doctor is me



สมัยเด็กๆ มีใครบ้างค่ะที่ฝันอยากเป็นหมอ เด็กไทย(และเชื่อว่าประเทศหลายประเทศในเอเชีย)ยังอยู่ในแวดล้อมที่ผู้ใหญ่ชื่นชมอาชีพที่เป็นวิชาชีพ อย่างแพทย์ วิศวกร พยาบาล สถาปนิก ฯลฯ เส้นทางที่ผู้ใหญ่หลายคนขีดไว้ให้เด็กๆคือ เรียนจบม.ต้น >>เรียนสายวิทย์>>>เอนท์ติดหมอ>>>สบายแล้วลูกเรา ผู้ใหญ่หลายท่านผ่อนผันเส้นทางนี้ เพราะเห็นว่าบุตรหลานของท่าน "หัวไม่ถึง เรียนไม่เก่ง" แต่เชื่อเถอะ เส้นทางอันดับหนึ่งที่อยากให้ลูกคุณเป็น ก็คงจะไม่พ้นเส้นทางนี้ หรือบางคนเองอาจเคยอกหักจากเส้นทางนี้มาก่อน (ความจริงคุณอาจโชคดีกว่าที่คุณคิด)

ในสายตาผู้ใหญ่ และคนทำงานบางท่าน มีความเห็นเกี่ยวกับอาชีพหมออย่างเช่น
"หมอหน่ะเหรอ กว่าจะออกตรวจก็สาย 9 โมง 10 โมง คนไข้มารอตั้งแต่ ตี 5 งานสบ๊ายสบาย"
"ก็เห็นนั่งในห้องแอร์เย็นๆ ถามๆ เอาหูฟังจิ้มๆ เขียนยา เสร็จละ ได้คนนึงตั้ง 500"
"ขับรถหรูทุกคน มีบ้านออกใหญ่โต เป็นหมอรวยออก"

มีคนมากมายที่คิดว่าอาชีพหมอสบายและรายได้ดี มั่นคง คนส่วนใหญ่ใส่อาชีพหมอไว้ในบัญชี "อาชีพในฝันสำหรับลูกน้อย" จริงไหมค่ะ ในฐานะที่ดิฉันเป็นหมอ มีความจริงที่หลายคนยังไม่รู้ และไม่เคยได้เห็นมาเล่าให้ฟังค่ะ

เรียนสนุกลุกนั่งสบาย ซะเมื่อไหร่???
สมัยเรียนม.ปลาย มองดูพี่ๆที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว สบายมาก เรียน 9 โมง เลิกบ่ายสาม เรียนวันละไม่กี่ชั่วโมง แต่งตัวสวยๆ สบายจริงๆ แต่ฝันของดิฉันสลาย.....เมื่อดิฉันเลือกเส้นทางนี้
การเรียนหมอไม่ได้ง่ายเลย ดิฉันคิดว่าเรื่องการต้องค้นคว้าอ่านด้วยตัวเองนั้นไม่ว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยสาขาไหนก็คงหนีไม่พ้น แต่ชั่วโมงเรียนของวิชาชีพแพทย์นั้น มากกว่าชั่วโมงเรียนสมัย ม.ปลายเสียอีก

ช่วง 3 ปีแรก เรียนตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 4-5 โมงเย็น มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แม้ว่าชั่วโมงเรียนจะเยอะ แต่ถ้าเทียบกับเนื้อหาที่เรียนแล้ว เหมือนเอานิยายเรื่อง Harry Potter ทุกภาคมาแสดงเป็นหนังให้จบในตอนเดียว 2 ชั่วโมงครึ่ง มีอะไรที่ต้องกลับไปอ่าน ไปทบทวนอีกมากมาย

ขึ้นมาปี 4 - 5 ช่วงนี้เราเริ่มฝึกงานกับคนไข้จริง การเรียนเริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้า (คุณตื่นรึยัง?) ไม่มีเวลาพักเที่ยงที่แน่นอน งานเสร็จถึงจะได้พัก (นั่นอาจหมายถึงบ่าย 3 ในบางวัน) เวลาเลิกก็ไม่แน่นอนเช่นกัน แล้วแต่ว่าหน้าที่ของเราสิ้นสุดเมื่อไหร่ (นั่นอาจหมายถึง 3 ทุ่ม) และถ้าเป็นวันที่ต้องอยู่เวร นั่นหมายถึง เที่ยงคืนถึงจะได้กลับไปนอนพัก และชีิวตก็เริ่มใหม่ 7 โมงเช้า วันถัดไป กิจวัตรวนไปเช่นนี้ตลอดปี ยกเว้นเสาร์อาทิตย์ แต่เดี๋ยวก่อน!!!!! ที่ว่ายกเว้นนี่ ไม่ใช่ว่าได้นอนตีพุงตื่นสายอยู่บ้านนะคะ วันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ต้องมาปฎิบัติงานอย่างน้อยเกือบครึ่งวัน ตั้งแต่ 7 โมงเช้า(เหมือนเดิม) ถึงเที่ยงค่ะ Y.Y

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมภาพลักษณ์ของหมอในสายตาหลายๆคน จะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายที่ใส่แว่นหน้าเตอะ แต่งตัวเรียบๆธรรมดาๆ (อาจจะออกเชยๆ) นั่นเพราะพวกเขาไม่มีเวลา ขอเอาเวลาแต่งตัว ไปนอนจะดีกว่า 555 แต่หมอสมัยใหม่บางคนก็ไม่อาจปล่อยตัวเองให้เป็นแบบนั้นได้ เราก็ยอมรับว่าต้องตื่นเช้า นอนหน่อยกว่าซักหน่อย เพื่อให้ตัวเอง "สวย" ค่ะ ^o^

ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาแพทย์ เรียกกันว่า Extern ไม่มีคำแปลตรงตัว แต่เป็นมนุษย์ที่เกือบเป็นแพทย์แล้ว แต่ทำงานหนักที่สุด เป็นปีที่เรียกว่า ห้ามลา ห้ามขาด ห้ามขี้เกียจ เพราะถือว่าเป็นปีที่จะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากที่สุดก่อนจะเป็นแพทย์จริงๆ อันนี้ก็เริ่มงาน และเลิกงานคล้ายๆปี 4-5 เหมือนเดิม แต่อยู่เวรคือ ถึงเช้าค่ะ !!! = ทำงาน 24 ชั่วโมงเหมือนเซเว่น แต่ไม่มีใครผลัดเวรนะคะ(ทนได้ไงนะเรา)

โอเคค่ะ ตอนนี้ถึงเวลาเรียนจบแล้ว ตอนที่เรียนทุกคนบอกว่าจบแล้วจะสบายขึ้น ปีที่หนักที่สุดในชีวิตคือช่วง Extern....... จริงหรือ???

ชีวิตหมอหลังจากที่ดิฉันจบ และทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐ ตอนนี้เริ่มงาน 7.00-7.30 เอ๊ะๆ บางท่านอาจถามว่า ทำที่ไหน?? ก็ไม่เห็นมาออกตรวจเลย อย่ามาโม้!!! คุณไม่เห็นหมอหรอกค่ะ ถ้าคุณไม่ได้เคยนอนโรงพยาบาล ตอนเช้าเราก็ไม่ดูคนไข้ที่นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน พอ 8-9 โมงถึงได้ไปเจอทุกท่านที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ที่คุณเห็นนั่งถามๆ ฟังๆ แล้วก็สั่งยานั่นแหละค่ะ

วันดีคืนดีคุณมาแล้วไม่เจอหมอคนเดิม "อ้าววันนี้หมอไม่มาทำงาน" ขอเติมซักหน่อยค่ะ "หมอไม่มาทำงานที่ห้องตรวจ เพราะไปผ่าตัดอยู่/ดูคนไข้ที่หอผู้ป่วยอยู่" เราไม่ได้หยุดงานหรอกค่ะ เพราะว่ามีผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล ดังนั้นเราก็เลยต้องมาทำงานทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ จริงมั๊ยคะ ถ้าคุณเคยนอนโรงพยาบาล คุณเองก็คงเคยถามพยาบาลว่า "วันนี้คุณหมอจะมากี่โมง???" และคุณก็อาจจะผิดหวังถ้าคุณพยาบาลบอกว่า "วันนี้คุณหมอไม่มาค่ะ" แต่ถึงจะไม่มีหมอคนเดิมมาเยี่ยมคุณในวันนั้น แต่ถ้าคุณเกิดมีอาการผิดปกติขึ้นมาก็จะมีหมอเวร!! หมายถึง หมอที่อยู่เวรนะคะ มาดูคุณ

ถึงจะจบแล้วแต่การอยู่เวรก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าคุณมาโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอเลย จะทำยังไง สถานพยาบาลทุกที่ต้องมีหมออยู่เวรตลอด24 ชั่วโมง และทุกๆวัน ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันอะไรก็ตาม นึกถึงวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดอย่างวันมาฆะ วันพืชมงคล คุณอาจรู้สึกว่าไม่หนักหนาเท่าไหร่ เหมือนทำ OT แต่ถ้าวันนั้นเป็นวันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันคริสต์มาส ที่ครอบครัวและญาติพี่น้องทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ยกเว้น "คุณ" ออกจะเจ็บปวดอยู่ซักหน่อย แต่มันก็เป็นทางเดินที่เราเลือกมาแล้ว.....ก็ทำงานกันต่อไป

เฮ้อ...เล่าไปก็เจ็บปวดเอง 555 คุณรู้มั๊ยว่าวันหยุดซักวันหนึ่ง ที่ได้ตื่นสาย ทำอะไรที่อยากทำ ได้อยู่กับครอบครัว ได้ไปเที่ยวกับแฟน โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่"มีค่า"มาก ยิ่งช่วงแรกจบใหม่ๆ ที่ต้องไปใช้ทุนต่างจังหวัด ไกลบ้าน ไกลคนที่เรารัก การได้กลับบ้าน อยู่บ้านติดกันซักเสาร์อาทิตย์หนึ่ง เป็นสิ่งที่คิดถึงเป็นเดือนๆ กว่ามันจะเกิดขึ้นจริง T_T

ทั้งหมดที่เล่ามานี้ อยากให้พวกคุณเห็นใจหมอตาดำๆ และอย่าได้แปลกใจที่โรงพยาบาลเอกชนจะคิดเงินแพง อย่าได้แปลกใจที่หมอจะลาออกไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน อย่าได้แปลกใจที่หมอเปลี่ยนไปทำงานด้านความงาม หรืออย่าได้แปลกใจที่หมอหลายคนเลิกอาชีพหมอไปทำอย่างอื่น ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงภาระหนักในด้านเวลาเท่านั้น ยังมีปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในระหว่างชั่วโมงทำงานที่ได้เล่าไป

และสำหรับน้องๆที่กำลังมองหาอาชีพในฝัน หรืออยู่ตรงทางแยก ไม่รู้ว่าจะเรียนหมอดีหรือไม่ ถามตัวเองให้ดี ถ้าน้องไม่ได้รักอาชีพนี้จริง แต่น้องจะเลือกเพื่อคนอื่นรอบๆตัวน้อง ให้เขาดีใจ ให้เขาภูมิใจในตัวน้อง พี่ไม่เคยเข้าใจคำว่า "ถ้าเลือกแล้ว ต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต" จนกระทั่งได้เดินมาแล้วมองหันหลังกลับไป

ขอบคุณที่ทุกๆคน ติดตามอ่านจนจบค่ะ

วันหลังจะมาแบ่งปันประสบการณ์ "สิ่งที่คุณไม่รู้ แต่หมออยากให้คุณรู้" ต่อค่ะ