ทุกๆคนคงเคยมีอาการปวดท้องมาก่ อนในชีวิตนี้ มากบ้าง น้อยบ้างแต่ละครั้งก็แตกต่างกั นไป
ถามว่าปวดท้องแล้วทำไง คนส่วนใหญ่คงเริ่มจากทนก่อน เผื่อว่าอาการมันจะหายไปเอง หลังจากทนไปหน่อยแล้วยังไม่ หายก็เริ่มมองหาตัวช่วย ถ้าเป็นเด็กก็คงขอความช่วยเหลื อจากผู้ใหญ่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้่วก็ ถามหาเอาจากคนที่คิดว่ารู้ มากกว่า หรือง่ายๆ คิดไม่ออกก็ไปที่ร้านขายยา ให้หมอยาช่วยจัดยาให้ ตามสไตล์คนไทยเรา ไม่ไหวจริงๆก็ค่อยไปพบแพทย์
ก่อนอื่นมาตอบคำถามกันก่อนว่า อาการปวดท้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร
อาการปวดเป็นความรู้สึกของร่ างกายที่รับรู้ผ่านทางเส้ นประสาทที่แผ่ทั่วร่างกาย เหมือนสัญญาณโทรศัพท์ที่แผ่ไปทั ่วประเทศ เมื่อส่วนไหนเกิดอาการปวดที่รี บโทรศัพท์ หรือส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อบอกให้สมองรู้ว่าส่วนไหนที ่มีอาการปวด และอาการปวดเป็นอย่างไร เหมือนโทรเข้าหา Call Center อย่างไรอย่างนั้น
แต่สัญญาณแบบไหนบ้างที่สมองรั บรู้ว่าเป็นความปวด??
ต้นกำเนิดของความเจ็บปวดในร่ างกายของเราแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ความเจ็บปวดโครงสร้างของร่างกาย (Somatic pain) (ที่ไม่ใช่อวัยวะภายใน) เช่น ความเจ็บปวดจากผิวหนัง กล้ามเนื้อ หรือ กระดูก
ความเจ็บปวดแบบนี้ เราจะสามารถบอกตำแหน่งได้ชั ดเจนว่าปวดตรงจุดไหน เจ็บที่ไหน และบริเวณที่เจ็บนั้นมักจะเป็ นต้นตอของอาการเลย และอาการปวดมักจะปวดแบบจี๊ด หรือโดนมีดบาด ทั้งคมทั้งชัด
พวกนี้เหมือนโทรศัพท์มือถือ มีกันคนละเครื่อง เวลาได้รับแจ้งเหตุก็ชี้ได้ เลยว่าใครเป็นคนแจ้งจากเบอร์โื ทรศัพท์ที่แจ้งเหตุ
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นบาดแผลตามร่ างกาย แผลอยู่ตรงไหน เจ็บตรงนั้น บอกตำแหน่งได้ชัดเจน
2. ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายใน (Visceral pain) เช่น ปวดตับ ไต ลำไส้ กระเพาะ พวกนี้จะบอกตำแหน่งได้ไม่ชัดเจน ถ้าต้นตอของอาการปวดมากจากอวั ยวะที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน อาการปวดจะแสดงออกมาเหมือนปวดที ่เดียวกัน ลักษณะอาการจะปวดจะตื้อๆ แน่นๆ จุกๆ คล้ายๆกันไปหมด
เหมือนใช้โทรศัพท์บ้าน หรือสำนักงาน โทรไปแจ้งเหตุ ถ้าดูจากเบอร์โทรศัพท์ก็ไม่รู้ หรอกว่าใครเป็นคนแจ้ง รู้แต่ว่ามาจากตึกนี้ สถานที่นี้
ยกตัวอย่างเช่นอาการปวดท้องเป็ นได้ทั้ง ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ โรคกระเพาะ โรคตับ ถูงน้ำดี ฯลฯ เพียงแต่ลักษณะรายละเอี ยดอาการของแต่ละโรคจะแตกต่างกั นไป ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยได้ว่ าอาการปวดท้องของแต่ละคน มีต้นตอมาจากอวัยวะอะไร ดังนั้นการให้ข้อมูลที่ถูกต้ องเกี่ยวกับอาการแก่แพทย์ เป็นสิ่งสำคัญ การให้ประวัติที่ไม่ตรงความจริง อาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิ ดพลาด และการรักษาที่ไม่ตรงจุดได้
3. ความเจ็บปวดจากอวัยวะข้างเคียง (Refer Pain) อันนี้ออกจะเข้าใจยากซักหน่อย เหมือนกับเหตุร้ายเกิดกับเพื่ อนบ้าน แต่เพื่อนบ้านมาขอใช้โทรศัพท์ เราโทรไปแจ้งเหตุ จริงปัญหาเกิดที่เพื่อนบ้าน แต่ถ้าดูจากเบอร์โทรก็เลยเหมื อนเหตุเกิดที่เรา อันนี้ทางการแพทย์อธิบายว่าเส้ นประสาทของอวัยวะ A กับ B ที่อยู่ใกล้เคียงกัน บางทีใช้ทางเดินเส้นประสาทร่ วมกัน แต่พอไปถึงสมอง กลับแปลว่าความเจ็บปวดอยู่ที่ B ถ้า B ผิดปกติจริง อาการปวดก็จะตรงกับตำแหน่ งความผิดปกติ แต่ถ้าความจริงเป็น A ที่ผิดปกติ อันนี้ก็จะเกิดอาการสับขาหลอกกั นเลยทีเดียว
ยกตัวอย่าง บางคนอาจเคยประสบกับตัวเองที่รู ้สึกว่าแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก แต่หลังจากแพทย์ตรวจแล้วกลั บบอกว่า เป็นโรคกระเพาะ???? อันนี้ก็อธิบายด้วยกลไกเดียวกั นนี้นั่นเอง
สำหรับอาการที่พบบ่อยๆอย่าง ปวดท้องบิดๆ อยากถ่าย แล้วก็ท้องเสียเป็นถ่ายเป็นน้ำ อันนี้ก็คงบอกได้ว่า ปวดท้องนี้มากจากลำไส้อักเสบ แต่ถ้าปวดท้องลิ้นปี่เวลากิ นอาหารรสจัดๆ หรือเวลาท้องว่าง ก็น่าจะเป็ นอาการปวดจากโรคกระเพาะ แต่อาการปวดบางอย่างที่ไม่คุ้ นเคย เช่นปวดจี๊ดๆตลอดเวลา ลองทนก็ไม่หาย ถ่ายก็ไม่ถ่าย อยู่ๆก็เป็นขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มี ขลุ่ย คิดไม่ออกว่าเป็นจากอะไร อันนี้อาจจะต้องไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้ องต่อไปนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
คิดยังไง บอกหมอได้ค่ะ