วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปวดตาข้างเดียว เป็นอะไรได้บ้าง

หลายคนมีอาการปวดตาข้างเดียว จนเริ่มผิดสังเกต และเริ่มสงสัยว่าอาการแบบนี้เป็นจากอะไรได้บ้าง จริงๆแล้วอาการปวดตาข้างเดียวมีสาเหตุได้จากหลายโรค ส่วนใหญ่เราอาจจะต้องดูว่ามีอาการอื่นๆร่วมด้วยมั๊ย เพื่อบอกความแตกต่างของแต่ละสาเหตุค่ะ

มีสิ่งแปลกปลอมในตา


ส่วนใหญ่อาการปวดตาข้างเดียวจะเกิดขึ้นหลังจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา อาจจะเป็นฝุ่น ไรือสำอางคื หรือแม้แต่ขนตาของเราเอง หรืออาจจะเป็นหลังการทำงานที่อาจมีความเสี่ยงมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น เจียเหล็ก ตอกไม้ ฟันต้นไม้ นอกจากจะปวดตาแล้วมักจะมีอาการเจ็บตา น้ำตาไหล ตาแดง ถ้าสิ่งแปลกปลอมแข็งมากหรือชิ้นใหญ่ อาจจะแสบมากจนแทบลืมตาไม่ได้ก็เป็นได้นะคะ สำหรับการรักษาสาเหตุนี้ง่ายมากค่ะส่วนใหญ่ถ้าเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออก ก็มักจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วค่ะ

ตาอักเสบ


ตาอักเสบ ในที่นี่จะพูดรวมๆนะคะ เพราะในความเป็นจริงตาอักเสบแบ่งเป็นส่วนย่อยๆได้อีกหลายโรคนะคะ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ กระจกตาอักเสบ ทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่จะมีอาการอื่นๆเช่น ตาแดง น้ำตาไหลมาก ตามัวลง บางคนอาจจะรู้สึกว่า อาการก็จะคล้ายๆเวลามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นก็จะไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีอะไรเข้าตา ไม่มีอุบัติเหตุอะไร อาการปวดตาข้างเดียวค่อยๆเป็นมากเป็นเรื่อยๆ โรคกลุ่มนี้แม้บางโรคสามารถหายได้เอง แต่ก็ควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้การรักษาที่ถูกต้องต่อไปค่ะ

ตาแดงติดเชื้อ


โรคตาแดงที่เรียกกันบ่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการติดเชื้อไวรัสค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้างเดียว ก็เลยมักมีอาการปวดตาข้างเดียวได้เช่นกัน คนที่เป็นมักจะน้ำตาไหลมาก ตาแดงมาก ตื่นนอนตอนเช้ามีขี้ต่เยอะ บางคนเหนียวปิดตาเลย ต้องเช็ดต้องล้างออกถึงจะเปิดตาได้ และยิ่งถ้ามีคนใกล้ชิดเป็นอยู่ เราก็อาจติดมาได้ โรคนี้ถ้าเป็นแล้ว ต้องระวังรักษาความสะอาดให้ดี ล้างมือบ่อยๆ ระวังอย่าให้น้ำตา หรือขี้โดนผู้อื่น เพราะอาจติดผู้อื่นได้นะคะ

ต้อหินเฉียบพลัน


ในทางหมอตา ถ้าพูดถึงอาการปวดตาข้างเดียว แบบรุนแรงก็จะกลัวโรคต้อหินมาเป็นอันดับต้นๆเลยค่ะ อาการร่วมมักจะมีตาแดงด้วย แต่แดงไม่มาก แค่เรื่อๆ อาการปวดคาจะเป็นมากๆเลยค่ะ บางทีก็ปวดศีรษะร่วมด้วย คลื่นไส้อาเจียน ตาจะมัวลงอย่างชัดเจนเลยค่ะ คนไข้โรคนี้ส่วนใหญ่อยู่ในคนวัยกลางคนถึงสูงอายุนะคะ สำหรับโรคนี้ควรพบจักษุแพทย์อย่างยิ่ง เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องนะคะ

สายตาไม่เท่ากัน


สายตาไม่เท่ากันที่ว่า หมายถึงการสั้นยาวของสายตา 2 ข้าง มีความมากน้อยไม่เท่ากันนะคะ โดยทั่วไปเวลาสายตาไม่เท่ากันมักทำให้ปวดตาสองข้างมากกว่า แต่ก็มีคนไข้บางรายที่ปวดข้างเดียว เนื่องจากข้างที่มีค่าสายตาผิดปกติเยอะพยายามเพ่งให้ชัดเท่าอีกข้าง ก็อาจทำให้มีอาการปวดตาข้างเดียวได้ มักเป็นหลังจากใช้สายตาเยอะๆ เพ่งหรือต้องเยอะ อาการปวดมักปวดหัวคิ้ว ปวดเบ้าตา หรือกระบอกตา  อาจมีอาการมึนหัว หรือปวดหัวร่วมด้วยได้ พักสายตาซักพักจะดีขึ้น แต่ถ้าอยากให้หายควรตัดแว่นให้พอดีค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างกับอาการปวดตาข้างเดียว อาการเป็นยังไง ก็แนะนำให้ปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้านท่านนะคะ สวัสดีค่ะ


วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

โรคต้อหิน อาการต้อหิน เป็นอย่างไร

หลายคนคงยอมรับว่าแค่ได้ยินคำว่า ต้อหิน (glaucoma) ก็รู้สึกว่าน่ากลัวแล้ว ไม่อยากให้ตัวเองเป็นเลย หลายคนก็คงอยากทราบว่า แล้วอาการต้อหินเป็นอย่างไร จะได้ระวังตัวแต่เนิ่นๆใช่มั๊ยคะ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ

ต้อหินคืออะไร

อันดับแรกที่ทุกคนควรเข้าใจคือโรคต้อหินคืออะไร??? โรคต้อหินเป็นโรคที่ขั้วประสาทมีความเสื่อม โดยที่ทางการแพทย์เองก็ยังไม่รู้กลไกแน่ชัด แต่เท่าที่เรารู้คือ การลดความดันตา (เกี่ยวกับความดันเลือดนะคะ) จะช่วยชะลอ หรือหยุด การเสื่อมของขั้วประสาทตานี้ได้ ดังนั้นถ้าใครที่พอมีประสบการณ์ คนใกล้ตัวเป็นโรคต้อหิน หรือเป็นอยู่ ก็จะทราบว่า สิ่งที่หมอตาสนใจเป็นพิเศษในคนไข้เหล่านี้คือความดันลูกตา ค่ะ

ชนิดของต้อหิน


ต้อหินมีหลายชนิด และจริงๆเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาการต้อหินแต่ละชนิดก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป หมอคิดว่าสำหรับบุคคลทั่วไป เราจะแบ่งชนิดคร่าวๆ ที่ควรรู้จักตามนี้นะคะ


  • ต้อหินเฉียบพลัน 
  • ต้อหินเรื้อรัง
  • ต้อหินจากสาเหตุของโรคทางตาอื่นๆ


อาการต้อหิน


อาการที่เป็นจุดร่วมของต้อหินทุกชนิดคือ การมีลานสายตาที่แคบลง หมายความว่าองศา หรือพื้นที่ที่เรามองเห็นเวลาให้ลูกตามองตรงนิ่งๆ แคบลง ง่ายๆคือ อย่างเวลาเรามองตาตัวเองในกระจก โดยปกติหางตาของเราจะสามารถเห็นของที่อยู่ด้านข้างออกไปได้(โดยที่ไม่ต้องกลอกตาไปดู)  แต่ในคนไข้ต้อหิน บริเวณด้านข้างที่คนไข้เห็นจะแคบลงกว่าปกติ ซึ่งจริงๆคนทั่วไปไม่ค่อยได้สังเกตบริเวณด้านข้างนี้เท่าไหร่ค่ะ ถึงเราจะพยายามดูก็มักจะตัดสินได้อยากว่าความกว้างที่เราเห็นนี้ มันกว้างเท่าปกติ หรือน้อยกว่าปกติ ส่วนใหญ่คนไข้ที่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ก็มักจะเป็นมากพอสมควรแล้ว

อาการต้อหินเฉียบพลัน


ถ้าเป็นอาการต้อหินเฉียบพลัน อาการจะค่อนข้างสังเกตได้ง่าย เพราะจะมีอาการปวดตามาก มักเป็นอาการปวดตาข้างเดียว บางรายร้าวไปที่ศีรษะ และอาจมีอาเจียนร่วมด้วย ตาแดงอาจจะไม่มากนัก และมีอาการตามัว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกันแบบเฉียบพลันทันที ยาแก้ปวดทั่วๆไปมักเอาไม่อยู่ และต้อหินชนิดนี้อาจจะไม่เคยมีอาการอะไรนำมาก่อนเลย ตรวจตาปกติดีทุกอย่างก็ได้ค่ะ เนื่องจากเป็นเฉียบพลัน การเปลี่ยนแปลงลายสายตาก็มักจะตามมาทีหลัง ถ้าต้อหินเฉียบพลันไม่ได้รับการแก้ไขนะคะ

อาการต้อหินเรื้อรัง


ถ้าเป็นต้อหินชนิดนี้ จะไม่มีอาการปวดเลยค่ะ ไม่มีอาการตาแดง ไม่มีอาการตามัว แต่ลานสายตาจะแคบลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เรามักตรวจเจอโดยบังเอิญค่ะ เช่นถ้าคนไข้เป็นเบาหวานต้องไปตรวจตาอยู่แล้ว หรือ มีปัญหาเกี่ยวกับตาอื่นๆแล้วไปตรวจเจอค่ะ เพราะอย่างที่บอกไปว่าความผิดปกติทางลานสายตา คนไข้มักจะไม่รู้สึกจะกว่าจะเป็นมากระดับนึงแล้ว

ต้อหินจากสาเหตุอื่นๆ


มีหลายสาเหตุมากมายค่ะ เช่น ต้อกระจกที่เป็นมาก การใช้ยาสเตียรอยด์ ม่านตาอักเสบ ตาติดเชื้อ อุบัติเหตุ ฯลฯ ส่วนใหญ่คนไข้จะไปตรวจรักษาโรคทางตาที่เป็นอยู่ อยู่แล้ว แล้วก็ตรวจเจอต้อหินร่วมด้วย

แล้วเมื่อไหร่จะสงสัยต้อหิน


ที่แน่ๆอาการปวดตา ตาแดง ตามัว เฉียบพลันควรรีบไปตรวจตากับจักษุแพทย์นะคะ แต่สำหรับชนิดเรื้อรังแนะนำว่าคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน ควรไปตรวจทุกปีนะคะ แต่ถ้าไม่มีคนในครอบครัวเป็นเลย ช่วงตรวจร่างกายประจำปี ไปตรวจซักครั้งให้อุ่นใจก็ไม่เสียหายค่ะ

ช่วงนี้อากาศหนาว ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ

วันอังคารที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไมถึงน้ำตาไหลบ่อย

สวัสดีค่ะ นึ่เป็นอีกหนึ่งคำถามที่มีคนถามมามากค่ะ ว่าน้ำตาไหลบ่อยๆเป็นจากอะไรมั๊ย เกิดจากอะไร (ไม่นับน้ำตาแห่งความยินดี หรือความเสียใจ หรือน้ำตาจากหนังสุดซึ้งนะคะ) วันนี้ Diary, Doctor is me ขอมาอธิบายให้ฟัง หวังว่ากลายท่านจะมีความเข้าใจมากขึ้นนะคะ


หน้าที่ของน้ำตา


ก่อนจะไปถึงสาเหตุของน้ำตาไหลบ่อยๆ หมออยากอธิบายก่อนค่ะ ว่าน้ำตาของเรามีไว้ทำอะไร หลักๆเลยก็มีไว้หล่อลื่นตาของเรานี่แหละค่ะ โดยเฉพาะบริเวณกระจกตา (กระจกตาคือส่วนผิวตาของเราบริเวณตาดำนะคะ) โดยที่น้ำตานั้นมีส่วนประกอบหลายอย่างทั้งเกลือแร่ สารอาหาร และออกซิเจนช่วยหล่อเลี้ยงกระจกตาให้เรา รวมทั้งยังมีหน้าที่เคลือบผิวตาของเราให้เรียบซึ่งจะทำให้การมองเห็นของเราชัดเจนขึ้นค่ะ (นี่เป็นเหตุว่าทำไมเวลาตาแห้งถึงมาอาการตามัวขึ้นมาได้ค่ะ)


การเดินทางของน้ำตา


น้ำตาเราจริงๆแล้วไหลอยู่ตลอดค่ะ แต่อาจจะต้องใช้คำว่า “หมุนเวียน” ถึงจะถูก มีต่อมน้ำตาที่สร้างน้ำตาแล้วไหลลงมาเคลือบผิวตา แล้วออกทางท่อน้ำตาค่ะ ต่อมน้ำตาก็สร้างน้ำตาตลอดเวลาค่ะ แล้วก็มีการกระพริบตาของเราที่ต้องกระพริบตลอด เป็นการไล่น้ำตาใหม่ให้เคลือบผิวตา และไล่น้ำตาเก่าให้ออกทางท่อน้ำตาค่ะ (เราก็เลยต้องกระพริบตาอยู่ตลอดยังไงหล่ะคะ)

สาเหตุของน้ำตาไหลบ่อยๆ


สาธยายซะยาว เราจะมาถึงสาเหตุที่น้ำตาไหลบ่อยๆกันนะคะ คิดง่าย เหมือนเรื่องน้ำท่วมของบ้านเรานะคะ เวลาน้ำตาไหลก็เหมือนน้ำท่วมค่ะ ก็จะมี 2 ทางคือ น้ำมาก ไม่ก็ น้ำรอการระบายมาก


  • น้ำมาก ก็คือมีการสร้างน้ำตามากขึ้น ซึ่งมีสาเหตุได้แก่
  • ตาแห้ง อันนี้อาจจะฟังงงๆนิดนึงนะคะ ทำไมตาแห้ง แต่น้ำตาไหลเยอะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เวลาที่เราตาแห้งน้ำตาของเราที่เคลือบผิวตาดำอยู่ จะค่อยๆแห้ง จนถึงจุดนึงที่แห้งมากจะมีอาการคันเคืองตา ซึ่งจะทำให้ร่างกายกระตุ้นให้สร้างน้ำตาออกมาเยอะๆ ก็จะทำให้น้ำตาไหล และอาการเคืองจะลดลงชั่วคราว อีกซักพักพอแห้งอีก ก็สร้างอีกเป็นกระบวนการเดิมวนไป คือตาก็แห้ง แต่ก็จะมีน้ำตาไหลบ่อยๆเป็นพักๆ ได้
  •  ตาอักเสบติดเชื้อ อันนี้เป็นการตอบสนองของร่างกายของเราจากการอักเสบ จะมี 
  • การสร้างน้ำตาเพิ่มขึ้น
  • มีสิ่งแปลกปลอม หรือมีแผลที่เยื่อบุตา ไม่ว่าจะอะไรเข้าตา หรือทิ่มตามบาดตา เมื่อก่อนให้เกิดบาดแผล หรือการระคายเคืองก็จะทำให้น้ำตาไหลมากขึ้น 
  • ต้อหินเฉียบพลัน  น้ำตาไหลก็เป็นหนึ่งในอาการต้อหินเฉียบพลันได้ เพราะเป็นภาวะที่มีความดันตาสูงอย่างทันทีทันใด จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างน้ำตาขึ้นได้ค่ะ
  • น้ำระบายไม่ทัน
  •  ท่อนำ้ตาอุดตัน เหมือนกับท่อน้ำอุดตันแหละค่ะ น้ำไม่ระบายก็เอ่อท่วมและไหลออกจากตามาทางแก้มแทน 
  • เปลือกตาผิดปกติ อย่างที่ได้เล่าไว้ตอนแรกค่ะ ว่าการกระพริบตาเหมือนกับการกวาดไล่น้ำตาให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง การที่เปลือกตาผิดปกติโดยเฉพาะบริเวณขอบๆเปลือกตา เช่นเปลือกตาแบะออก หรือม้วนเข้าใน ก็มักจะทำให้การระบายน้ำตาไม่ดี และมีน้ำตาไหลได้ค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุของอาการน้ำตาไหลบ่อยส่วนใหญ่นะคะ ซึ่งแนะนำให้ตรวจกับคุณหมอตา เพื่อหาสาเหตุที่ถูกต้อง และเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ตรงโรคนะคะ

ขอให้ทุกท่านมีดวงตาสดใส ในทุกๆวันค่ะ





วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เล่นโทรศัพท์มาก ทำร้ายดวงตาของเราจริงหรือ???

มีคนถามเข้ามามากว่าการจ้องมือถือนานๆ เล่นโทรศัพท์มากๆ มีผลต่อดวงตาของเราหรือไม่ค่ะ ตอบแบบตรงไปตรงมาว่า “มี” แน่นอนค่ะ โดยเฉพาะคนที่เล่นมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ  ส่วนจะมีผลอย่างไรกันบ้าง ลองติดตามกันดูค่ะ


  • ตาแห้ง (dry eye syndrome) การจ้องหรือเล่นโทรศัพท์มากๆ เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการตาแห้งค่ะ เพราะเวลาเพ่งโดยธรรมชาติเราจะกระพริบตาน้อยลง ทำให้น่ำตามีเวลาให้ระเหยมากกว่าปกติ ตาเราจึงแห้งค่ะ เวลาตาแห้งก็จะมีอาการเช่น เคืองตา น้ำตาไหล ตาแฉะ หรือตามัวเป็นพักๆได้ค่ะ
  • ปวดตา จริงๆหลายคนก็คงรู้สึกได้ว่า หลังจากเล่นโทรศัพท์มาก จะมีอาการปวดตา  เวลาเราจ้องนานๆ กล้ามเนื้อในลูกตาจะเกร็งเป็นเวลานาน อาจะทำให้มีอาการปวดตาได้ โดยเฉพาะคนที่มีสายตาสั้น หรือสายตายาวอยู่บ้าง หรือแว่นไม่พอดีกับสายตา จะยิ่งมีอาการได้มากค่ะ วิธีแก้ไขก็แค่พักสายตา หลับตาหรือจ้องออกไปที่ไกลๆซัก 5- 10 นาที อาการก็จะดีขึ้นเอง
  • อันตรายจากแสงสีฟ้า เรื่องของแสงสีฟ้าเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากเลยค่ะ โดยเฉพาะช่วงหลังๆมีผลิตภัณฑ์ที่ข่วยตัดแสงสีฟ้าออกมากมาย เชื่อกันว่าแสงสีฟ้ามีผลต่อเซลล์รับภาพที่จอประสาทตาของเรา ทำให้จอประสาทตาเสื่อมเร็วขึ้นค่ะ อย่างไรก็ตามการศึกษาส่วนใหญ่ทำบนเซลล์เพาะเลี้ยง(เพราะเราไม่สามารถศึกษาในคนจริงๆได้ ตามหลักจริยธรรมการทำงานวิจัยทางการแพทย์นะคะ) ดังนั้นบางคนก็อาจจะยังไม่เชื่อเรื่องนี้มากนักก็ได้เพราะกลไกในร่างกายของเรามีความซับซ้อนกว่าเซลล์เพาะเลี้ยงมากค่ะ แต่บางคนตะปลอดภัยไว้ก่อน ก็ไม่เสียหายค่ะ
  • สายตาสั้นมากขึ้น อันนี้ส่วนใหญ่จะพบในเด็กๆค่ะ ที่เล่นโทรศัพท์มากๆ แทนที่จะออกไปวิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมอื่น  จริงๆแล้วสำหรับหัวข้อนี้อาจจะไม่ได้หมายถึง มือถือ smartphone เพียงอย่างเดียวค่ะ แต่หมายรวมถึงทุกอย่างที่ต้องใช้การจ้องมองระยะใกล้นานๆไม่ว่าจะเป็น tablet หรือ หนังสือ จริงๆแล้วเด็กๆควรมีกิจกรรมที่ได้ใช้สายตามองในระยะใกล้ หรือระยะกลาง อย่างการเล่นกีฬาบ้างค่ะ
นอกจากสายตาแล้ว การเล่นโทรศัพท์มากๆก็จะมีผลต่ออวัยวะอื่นๆด้วยเช่นกันค่ะ
  • กล้ามเนื้อคอ การอยู่ในท่าก้มเป็นเวลานานๆมากทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยเกร็งของกล้ามเนื้อคอด้านหลังค่ะ ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนอิริยาบทบ้าง ถ้าอยากจะเล่นนานๆค่ะ
  • กล้ามเนื้อมือและแขนส่วนปลาย อิริยาบทที่หมอขอเรียกว่า “การไถ” เลื่อนภาพในมือถือsmartphone ซ้ำๆนานๆสามารถทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตั้งแต่นิ้ว ข้อมือไปจนถึงกล้ามเนื้อแขนที่อยู่ระหว่างข้อมือ กับข้อศอกได้ค่ะ (อันนี้ขอยอมรับว่าบางทีหมอก็เคยเป็นด้วยนะคะ - -‘)
อ่านเรื่องอันตรายจากการเล่นโทรศัพท์มาถึงตรงนี้แล้วจริงๆหมอก็ไม่ได้ห้ามเล่นโทรศัพท์ smartphone นะคะ การเล่นมือถือของเราก็มีประโยชน์อยู่หลายอย่าง อย่างเราๆวัยทำงานเองก็ใช้มือถือในการติดต่อสื่อสาร ทำธุรกรรม ดูหนังฟังเพลง เรียกว่าให้ความสะดวกสบาย ส่วนวัยเกษียณ ถึงมือถือ smartphone เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขา แต่ก็สิ่งที่ช่วยให้พวกเขาได้ติดต่อกับลูกหลาน และช่วยแก้เหงาได้เป็นอย่างดี ส่วนเด็กๆจริงๆแล้วการเล่นมือถือ หรือแทปเล็ตบ้างก็ถือเป็นการฝึกทักษาะมลับสมองได้เป็นอย่างดี

แต่หมอเชื่อว่าทุกอย่างต้องเดินทางสายกลางค่ะ ถ้าเล่นโทรศัพท์มากเกินไปก็คงไม่ดีแน่ เล่นไปก็เปลี่ยนอิริยาบทบ้าง พักสายตาบ้าง เพื่อุขภาพร่างกายของเราจะอยู่กับเราไปนานๆนะคะ วันนี้ขออนุญาตไปดูซีรี่ส์เกาหลีต่อก่อนนะคะ ขอให้ทุกท่านอยู่กับ smartphone แต่พอดีนะคะ สวัสดีค่ะ

วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ตาแห้งเป็นยังไง? : การปฏิบัติตัวสำหรับคนที่มีอาการตาแห้ง

สวัสดีค่ะ เราได้เคยพูดถึงสาเหตุของโรคตาแห้งไปแล้ว ก่อนจะไปถึงการปฏิบัตตัวสำหรับคนที่มีอาการตาแห้ง หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคตาแห้งหรือไม่ใช่มั๊ยคะ และคำถามที่ตามมาก็คือ แล้วตาแห้งมีอาการเป็นอย่างไร

โรคตาแห้งมักก่อให้เกิดอาการแสบตา เคืองตา และน้ำตาไหลค่ะ เนื่องจากคนส่วนใหญ่เป็นไม่มาก อาการก็มักจะไม่รุนแรงมากนัก ส่วนใหญ่หลับตาพักซักระยะ หรือกระพริบตาถี่ๆก็หายได้เอง

อาการตาแห้งมักจะเป็นมากเวลาที่อยู่ในสภาพที่น้ำตาระเหยได้ง่าย เช่น โดนลม โดนความร้อน ต้องเพ็งนานๆ หรือจ้องอะไรนานๆค่ะ เนื่องจากเวลาเราเพ็งหรือจ้องนานๆ เรามักจะกระพริบตาถี่น้อยลงโดยธรรมชาติค่ะ และการหลับตาซักพัก หรือการกระพริบตาถี่ๆ เป็นการรีดน้ำตาให้กลับมาเคลือบผิวตาอีกครั้ง ทำให้อาการดีขึ้นค่ะ

สำหรับคนที่เป็นโรคตาแห้ง หรือแม้แต่มีอาการตาแห้งเป็นครั้งคราว นอกจากการไปพบแพทย์แล้ว การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยในการรักษาโรคตาแห้งได้มากเลยค่ะ โดยจริงๆหลักการง่ายๆก็คือการหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ตาแห้งอย่างที่เคยได้เล่าไปในบทความ ตาแห้งเกิดจากอะไร?? ลองศึกษากันดูได้นะคะ



การปฏิบัติตัวสำหรับคนที่มีอาการตาแห้ง หรือเป็นโรคตาแห้ง



  • พักสายตาบ้างจากการใช้สายตาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่างเรา (หมอก็ยังคงนับเป็นคนรุ่นใหม่อยู่ละมั๊งคะ>.<) ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แทปเล็ท คอมพิวเตอร์ คนรุ่นใหม่อย่างเราใช้สายตากันมากจริงๆค่ะ แนะนำว่าใน 1 ชม ควรพักสายตา หลับตาซัก 5 บ้างนะคะ หรือถ้าบางคนที่มีอาการของโรคตาแห้งบ่อยๆอยู่บ้าง พอเริ่มมีอาการก็ให้รีบพักสายตาเลยค่ะ
  • เลี่ยงลม หรือความร้อน อย่างเช่น ถ้าเราขับรถมอเตอร์ไซค์ ก็อาจจะต้องหาหมวกกันน็อกที่มีหน้ากากปิดหน้า มาช่วยลดปริมาณลมที่พัดปะทะกับตาของเรา หรือแม้กระทั่ง ลมจากแอร์หรือพัดลมที่เป่าหน้าก็อาจจะต้องปรับไปเป่าที่ตัวแทนก่อนนะคะ
  • การทำความสะอาดเปลือกตา ข้อนี้หลายคนโดยเฉพาะสาวๆอาจจะสงสัยว่าเหมือนกับการเช็ดเครื่องสำอางค์ที่เปลือกตารึเปล่า คำตอบคือ “ไม่เหมือนนะคะ” เพราะว่าบริเวณสำคัญที่เราต้องใส่ใจคือบริเวณขอบเปลือกตา ทั้งข้างบนและข้างล่างค่ะ หรือง่ายๆก็คือบริเวณโคนขนตานั่นเอง คนไทยเราอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่แต่ต่างประเทศมี video แนะนำมามากมาย เช่น วิดิโอนี้ ที่อยากจะแนะนำให้ลองศึกษากันนะคะ 
  • หลีกเลี่ยงยาบางอย่างเช่น ยากินรักษาสิว หรือ ยาแก้แพ้ ถ้าทำได้นะคะ แต่ถ้าสิวยังเยอะอยู่ หรือยังจำเป็นต้องรับประทานยาแก้แพ้อยู่ หมออยากแนะนำให้ลองชั่งน้ำหนักค่ะว่าอาการของโรคไหนหนักกว่ากันถ้าสิวหนักกว่า ก็ทานยาต่อเถอะค่ะ เรื่องตาแห้งก็ยังสามารถหาวิธีรักษาอื่นๆได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าทรมานจากอาการตาแห้งมาก อาจจะต้องยอมเปลี่ยนการรักษาสิวเป็นวิธีอื่นๆไปก่อน เช่นการทายา แทนค่ะ
  • หลีกเลี่ยงการใส่ contact lens แต่จริงๆข้อนี้หมอก็เข้าใจหลายๆท่านที่อยากสวยอยากหล่อ หรือ ปลื้มกับอิสรภาพจากกรอบแว่นที่ contact lens มอบให้นะคะ แต่ถ้าตาแห้งมากจริงๆ ก็อาจจะต้องยอมเลิกใส่ contact lens จริงๆ เพื่อรักษาสุขภาพตาที่ดีไว้นะคะ
  • หยอดยาตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งยาอะไรบ้างที่ช่วยอาการตาแห้ง หรือจะมีการรักษาแบบไหนบ้างนั้น ไว้เราจะมาเล่าให้ฟังครั้งหน้าค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และเป็นคนไข้ที่น่ารักของหมอค่ะ วันนี้สวัสดีค่ะ